จากกรณีอำนาจเถื่อนคุกคามนักกิจกรรมทางการเมืองคนหนึ่ง The Isaander ในฐานะสื่อทางเลือกที่เชื่อมั่นเสรีภาพการแสดงออกของประชาชนย่อมได้รับความคุ้มครอง
วันนี้เราอยากชวนทุกคน อ่านเรื่องสั้นจากกองบรรณาธิการ Blackbird Singing บทเพลงแห่งนกที่อยากโบยบินและพยุงปีกอิสระออกไปหาผองชน
__________________
Blackbird Singing
“ เมื่อ 700 กว่าปีก่อน พญามังรายออกแบบเมืองนี้ให้ตั้งอยู่ตรงกลาง มีป่าดอยสุเทพอยู่ตรงตะวันตก และลำน้ำปิงไหลผ่านทางตะวันออก คนที่นี่อาจไม่ได้ร่ำรวยเงินทอง แต่ก็โชคดีมหาศาลที่อาศัยใกล้ชิดธรรมชาติ ทั้งป่าและแม่น้ำ โดยเฉพาะป่าที่เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์และที่สถิตอยู่ของผีบรรพบุรุษอีกทั้งเก็บความทรงจำของคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า
ปี 1935 ครูบานักบุญเป็นผู้นำประชาชนสร้างทางรถยนต์จากเชิงเขาขึ้นไปยังวัดพระธาตุ ด้วยอุปกรณ์เท่าที่มีในเวลานั้น คือ จอบกับเสียม เจ้าแก้วนวรัฐ เป็นคนลงจอบแรก แล้วมีผู้คนที่หลั่งไหลมาลงแรงจากทั่วสารทิศก็พากันมาลงจอบต่อๆไป เพียง 5 เดือนกับอีก 22 วัน ถนนที่ผู้คนใช้เดินทางขึ้นไปนมัสการพระธาตุก็แล้วเสร็จ “
1
บ่ายนั้นอากาศกำลังพอดี แดดสวย ฟ้าใส บริเวณตึกสี่ชั้นสีเทาใกล้ชิดตีนดอย ในห้องสี่เหลี่ยมที่โต๊ะระเกะระกะไปด้วยกระดาษเอกสาร ศกุน-อาจารย์หนุ่มประจำสถานศึกษาแห่งนี้ กำลังเฝ้ารอคนกลุ่มหนึ่งด้วยจดจ่อกับความคิด
เขามองออกไปยังภาพลักษณะคล้ายโปสเตอร์วงดนตรีร็อคสัญชาติอังกฤษติดอยู่บริเวณผนังห้องประจำตัว อันบ่งบอกว่า นอกจากฟังเพลงสากลจากแผ่นเสียง LP หนึ่งสัปดาห์มานี้ศกุนมักใช้เวลาเว้นว่างจากชั่วโมงสอนทบทวนจุดเริ่มเรื่องราววันนี้
"บ้านเราเป็นเมืองการท่องเที่ยว เราไม่อยากให้มีสภาพแวดล้อมไม่ดี จะได้มีความสุขกัน จะได้ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง เศรษฐกิจของเมืองเรา ขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยวเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้ามีความวุ่นวายทางการเมืองขึ้นมา มันจะเกิดปัญหา" เจ้าหน้าที่รัฐผมเกรียนในชุดราชการบอกเขาทุกครั้งที่เจอกัน ไม่ว่าศกุนจะอธิบายว่ารักบ้านนี้เหมือนกัน หรือพร่ำพูดพรรณาด้วยภาษาท้องถิ่นแบบคนกันเองแค่ไหน สิ่งที่เขาได้รับกลับมาก็เป็นประโยคเดิมที่ม้วนวนกลับมาหาเขาทุกที
สองปีที่แล้วหลังจบการศึกษาจากต่างประเทศ ศกุนตัดสินใจเข้าทำงานที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ เป็นสถานศึกษาของเขาตอนเรียนปริญญาใบแรกด้วย นั่นเพราะเขาเกิดและเติบโตในถิ่นฐานย่านนี้ ที่นี่มีแทบทุกอย่างเหมือนเมืองหลวงมี ศูนย์ราชการ มหาวิทยาลัย ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ โรงละคร หรือร้านหนังสือ หนำซ้ำอากาศและธรรมชาติที่นี่ยังดีกว่าที่อื่นๆแม้จะมีฤดูของหมอกควันปกคลุมบ้าง
แต่เมื่อหักลบวันเวลาแบบนั้นแล้ว ที่แห่งนี้บรรจุไปด้วยความฝันของคนทำงานทุกแขนง ผู้คนจากหลากที่ต่างอพยพมาอยู่เพื่อใช้ชีวิต เที่ยว กิน ดื่ม เสพศิลปะวัฒนธรรมอันรุ่มรวยประจำถิ่น ตามแบบฉบับ เนิบช้า ใจเย็น แต่บางทีก็แฝงเร้นไปด้วยความสนุกสนาน อันเกิดจากภาพแทนของคนเมืองนี้ ที่อดีตศิลปินประจำถิ่นบอกผ่านไว้หลากท่วงทำนองเพลง
ราวกับฤดูกาลที่ต่างออกไป บ้านนี้เมืองนี้และมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างแปรเปลี่ยนตั้งแต่วันแรกที่เขากลับมา กิจกรรมนักศึกษาที่ศกุนคุ้นเคยหลายอย่างถูกจับตาจากผู้มีอำนาจ ทั้งงานเสวนาและแม้กระทั่งจัดฉายภาพยนตร์ ด้วยความรู้สึกรู้สาและหลักวิชาที่ร่ำเรียนมา รวมถึงการเห็นอกเห็นใจนักศึกษารุ่นน้องที่อยากจัดงานให้ประชาชนออกมาแสดงความเห็นในทางสาธารณะ
" คุณมีหน้าที่สอนหนังสือก็สอนหนังสือไป อย่าพยายามเรียกร้องคัดง้างอำนาจใดเลย " อันเป็นประโยคขอร้องแกมบังคับ ที่ศกุน รู้สึกว่า ถูกมองเป็นคนแปลกประหลาดจากเพื่อนร่วมวิชาชีพ จากการออกมาเคลื่อนไหว และร่วมจัดงานงานหนึ่งเพื่อคัดค้านอำนาจเถื่อนจากส่วนกลางที่ไม่ได้มาจากการยอมรับของประชาชน หลายครั้งเพื่อนอาจารย์ของเขาก็บอกเตือนและอาจารย์ผู้ใหญ่ก็ปรามห่างๆถึงอนาคตการทำงานหากพลาดพลั้งเป็นคดีความอะไรขึ้นมา
2
สำหรับเขา กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น หากเพิกเฉย นั่นเท่ากับว่ากำลังทรยศหลักความคิดความเชื่อของตัวเอง หนำซ้ำเขาคงไม่มีหน้าไปสอนหนังสือให้นักศึกษาคนไหนตระหนักเรื่อง หลักเสรีภาพการแสดงออก ที่เขาเป็นเจ้าของวิชาเรียน และตั้งใจจะกลับมาเผยแพร่แนวคิดเช่นหลักการคนเท่ากันนี้ออกไปสู่วงกว้างอีกต่อไป
ยิ่งกับเรื่องวกวนในหัวให้ขบคิดทุกวันนี้ จากเหตุการณ์การก่อสร้างบ้านพักข้าราชการผู้ใหญ่และอาคารชุดพักอาศัยของข้าราชการในพื้นที่กว่า 140 ไร่ บริเวณเชิงดอยสัญลักษณ์ประจำเมือง กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนในท้องถิ่นว่าพื้นที่ก่อสร้างลุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ป่าที่มีลักษณะสมบูรณ์มาก
ช่วงเวลาเดียวกันนักวิชาการกลุ่มหนึ่งกำลังประชุมทำวิจัยที่สถาบันที่้เขาสอน ในเรื่องความเปลี่ยนแปลงพื้นที่ชนบทต่างๆ มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยทั่วภูมิภาคมาร่วมด้วย เขาจึงถือโอกาสชักชวนกลุ่มนักวิชาการออกแถลงการณ์ความเห็นคัดค้านเรื่องนี้
เท่าที่ศกุนจำได้วันนั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก คืนก่อนหน้าพวกเขาคุยกับตัวแทนกลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่น เช้าวันรุ่งขึ้นเขาเขียนแถลงการณ์และบ่ายวันนั้นก็เชิญสื่อมวลชนเล็กๆที่พอรู้จักในเมืองมาร่วมทำข่าวเผยแพร่ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ถ้อยความมีข้อเรียกร้องให้รัฐใช้มาตรการเร่งด่วน ประกาศให้พื้นที่โครงการก่อสร้างนั้นเป็นพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ ให้ระงับทุกกิจกรรมในพื้นที่ และข้อเสนอของพวกเขายัง ให้ประกาศเป็นสัญญาประชาคมว่า จะไม่มีใครเข้าไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ที่เป็นป่ารอยต่อกับเขตอุทยานแห่งชาติอีก
หลังจากนั้นไม่กี่วัน รายงานจากสำนักข่าวท้องถิ่นปรากฎ ประชาชนจำนวนหนึ่งออกทำกิจกรรมปั่นจักรยานผูกริบบิ้นสีเขียว รณรงค์บริเวณพื้นที่รอบเมือง มีจัดเวทีประชาชนปราศรัยพูดถึงงานศึกษาพบว่า บริเวณเชิงดอยแห่งนั้น เป็นพื้นที่เสี่ยงดินถล่ม และน้ำป่าไหลหลาก จากโครงสร้างบ้านพักเชิงดอยและพื้นที่ ถ้ามีฝนตกต่อเนื่อง ดินที่มีความลาดเอียงอยู่แล้ว ย่อมเคลื่อนตัวได้ และหากฝนมีปริมาณมาก โอกาสเกิดภัยพิบัติย่อมสูงเป็นเงาตามตัว กิจกรรมดังกล่าวก็ปรากฎภาพศกุนเป็นหนึ่งในคนนำกิจกรรม รวมถึงเป็นนักวิชาการที่ออกมาให้ความเห็นในเชิงสัมภาษณ์รวมถึงเสนอความคิดเห็นไปตามถ้อยแถลงไม่เห็นด้วยกับการสร้างชุดบ้านพักทับพื้นที่ป่าแห่งนั้นอยู่เสมอๆ
อีกด้านสื่อพยายาม สัมภาษณ์คนจากรัฐที่ออกมาชี้แจงว่า หากไม่ดำเนินการสร้างบ้านบริเวณนั้นแล้วพวกเขาจะไปพักอยู่ที่ไหน หรือประชาชนของเมืองนี้อยากเดินทางไปใช้บริการจากรัฐในเมืองหลวงที่ห่างออกไปกว่าหกร้อยกิโลเมตร
ขณะเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงก็ออกมาบอกว่าจะดำเนินการทางกฎหมายขั้นเด็ดขาดกับคนที่ออกมาต่อต้านการสร้างโดยปลุกระดมประชาชนให้ออกมาเคลื่อนไหวและบิดเบือนข้อมูล
ก่อนกระแสของเรื่องราวจุดติดไปถึงโลกออนไลน์และขยับไปถึงจุดที่ภาคประชาชน กว่า 1,000 คน เดินทางมาบริเวณประตูสำคัญของเมือง เพื่อแสดงจุดยืนคัดค้าน พร้อมเรียกร้องให้ รัฐบาลรื้อบ้านพักดังกล่าวออก
3
เช่นเดียวกับโมงยามที่รุกเดินไปข้างหน้า ชื่อของศกุนถูกจับตามากขึ้น ในฐานะนักวิชาการหนุ่มวัย 26 ปี โต้โผของขบวนเคลื่อนไหว เขาแทบจะถูกติดตามจากเจ้าหน้าที่ในชุดลายพรางอยู่เสมอๆเพื่อสอบถามว่า จะเคลื่อนไหวไปไหน และจะดำเนินการอะไรระหว่างนี้อีกหรือไม่
มากกว่านั้นเขายังถูกเรียกให้ไปพบบ่อยๆ ทั้งสถานที่ที่เจ้าหน้าที่นัดหมายเช่น ร้านกาแฟ หรือแม้กระทั่ง’เขตควบคุมผู้ต้องสงสัย’ เพื่อติดตามสอบถามข้อมูล วันนั้นศกุนถูกเชิญตัวไปตั้งแต่เช้า เจ้าหน้าที่อ้างว่าเป็นการพูดคุยกันส่วนตัว กำชับว่าไม่ต้องเชิญนักข่าวหรือใครมาด้วย
เมื่อเขาไปถึงหน้าสถานที่ราชการแห่งนั้นเพียงลำพังก่อนถูกตรวจละเอียด ค้นตัว ค้นรถจากคนเฝ้าประตู ก่อนจะพาตัวไปห้องที่ใช้พูดคุยเป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีโต๊ะยาวตรงกลาง ท่ามบรรยากาศตึงเครียด ห้องนั้นบรรจุคนเกือบๆ 20 คน รอเขาอยู่ นอกจากเจ้าหน้าที่ในชุดเขียวเข้ม มีสายข่าว มีข้าราชการฝ่ายปกครองรวมถึงคนในเครื่องแบบสีกากี ภายในห้องมีเจ้าหน้าที่หลายคนทำหน้าที่ถ่ายรูปบ้าง อัดเสียงบ้าง เฝ้ามองดูเขาบ้าง
ศกุนจำได้ว่าหนึ่งในชายชุดเขียวที่มามีคนหนึ่งเป็นรุ่นพี่สมัยมัธยม เขาเป็นประเภทหน่วยจู่โจม ศกุนไม่ได้เจอเขานานมากเป็นสิบปี ทราบภายหลังว่า คนคนนี้มีหน้าที่จับตาดูเขาอยู่ข้างนอก รู้ว่าเขาเป็นใคร บ้านอยู่ไหน รู้สัญญาจ้าง รู้วุฒิการศึกษาของเขาและรู้ข้อมูลกลุ่มคนถูกจับตาคนอื่นๆในเมืองนี้
ผู้ที่น่าจะยศสูงที่สุดบอกทักทายเขาด้วยประโยคคุ้นหู ก่อนลงท้ายว่า “เดี๋ยวผมก็ไปจากเมืองนี้แล้ว”
ศกุนรู้ได้ทันทีเลยว่า เขาไม่อยากให้มีปัญหาเรื่องการแสดงออกใดๆของประชาชน เพราะจะมีผลต่อตำแหน่งของเขา เจ้าหน้าที่อีกคนพูดย้ำดุดันแบบกลัวเขาไม่เข้าใจว่า ที่นี่เป็นเมืองท่องเที่ยว ต้องเห็นใจกัน ก่อนอบรมเหมือนเด็กนักเรียน ว่าต้องเห็นใจส่วนรวม แม้เขาจะนึกคิดในใจว่า "เราโคตรจะเห็นใจส่วนรวมเลยออกมาเคลื่อนไหวแบบนี้ "
แม้สิ่งนี้จะเป็นเรื่องรบกวนจิตใจเขามาก แต่สภาพคนที่ถูกมองว่าเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาตกลับทำให้ศกุนเข้าใจกลไกการพยายามปรับทัศนคติจากรัฐมากขึ้น เพราะไม่ใช่แค่เขาแต่เพียงผู้เดียว
ในพื้นที่อื่นๆทั่วประเทศก็มีบุคคลที่พบประสบการณ์คล้ายคลึงกับเขามากพอ มากพอที่จะทำให้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเกินไป ยิ่งกับการเป็นนกที่กำลังฝึกโผบิน หากไม่รู้จักโลกที่ต้องสยายปีกโดดเดี่ยว ก็ยากนักที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างมีคุณค่า
เขานึกถึงคำพูดผู้เฒ่าผู้แก่หลายต่อหลายคนเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนการขึ้นไปนมัสการพระธาตุเป็นการบำเพ็ญบุญกิริยาด้วยกาารเดินเท้าขึ้นไปด้วยจิตใจสงบสำรวม เคารพต่อธรรมชาติตลอดเส้นทางจากวัดศรีโสดาที่เชิงดอยอันหมายถึงการบรรลุธรรมขั้นโสดาบัน ขึ้นไปถึงวัดสกิทาคาและวัดอนาคาไปสิ้นสุดที่จุดสูงสุดของพระธาตุอันเปรียบเสมือนขั้นนิพพาน
และความทรงจำอีกเรื่องที่เกือบๆจะสูญหายไปก็คือตำนานเกี่ยวกับปู่แสะย่าแสะ และฤษีวาสุเทพนี่เอง ตามตำนานเล่าว่าฤษีวาสุเทพบำเพ็ญพรตอยู่บนดอยแห่งนี้ตั้งแต่ก่อนสมัยพญามังราย บางตำนานเล่าว่าวาสุเทพเป็นบิดาของพระนางจามเทวี และเป็นกษัตริย์หรือหัวหน้าของชาวลัวะ แถบเชิงดอยแห่งนี้อีกด้วย ส่วนปู่แสะ ย่าแสะเป็นยักษ์ดุร้ายที่ชาวลัวะเคารพยำเกรง เชื่อกันว่าเป็นพ่อแม่ฤษีวาสุเทพ
ทุกๆปี บริเวณชายป่าเชิงวัดพระธาตุดอยคำซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเขตอุทยานแห่งชาติสุเทพ-ปุย ชาวบ้านจะจัดพิธีเลี้ยงดง ฆ่าควายเลี้ยงผี และแห่ภาพวาดพระพุทธเจ้าขึ้นแขวนบนต้นไม้ให้โบกไหวไปมา เพื่อเป็นอุบายหลอกยักษ์ทั้งสองตนว่าพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ให้ยักษ์รักษาสัญญาที่เคยให้ไว้กับพระพุทธเจ้าว่า ตราบใดที่ตถาคตยังเคลื่อนไหวอยู่ ตราบนั้นห้ามยักษ์ทั้งสองกินเนื้อคน
เขา- ฟังเรื่องเล่าต่างๆนานาซ้ำไปซ้ำมา จนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำ ความทรงจำที่เป็นสิ่งเชื่อมโยงคนให้ผูกพันกับสถานที่ สำหรับคนท้องถิ่นแบบเขาความทรงจำในที่แห่งนี้มีความหมายและคุณค่าทางจิตใจ เป็นความรู้สึกลึกซึ้งและยากเกินกว่าคำใดจะอธิบาย
ท้ายที่สุดในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีคนเฝ้าจับตาอยู่ตลอดวันนั้น ไม่ว่าศกุนพูดอะไรเจ้าหน้าที่ก็พูดแบบเดิมประหนึ่งเป็นหุ่นยนต์ที่โปรแกรมมา จากนั้นให้เขาเซ็นเอกสาร มีเงื่อนไขหลักๆ คือ ห้ามเคลื่อนไหวทางการเมืองในระยะเวลา 1 ปี
และให้ยอมรับว่าเขาทำผิดตามที่กล่าวหาไว้ ศกุนยืนยันว่า เขาไม่ได้ทำผิดอะไร และยอมรับข้อกล่าวหานี้ไม่ได้ หากจะให้บอกว่าเป็นความผิดก็ต้องไปสู้ในศาลก่อน กระทั่งช่วงสายเจ้าหน้าที่ปล่อยตัวเขาออกไปโดยยังค้างคาเงื่อนไขไม่ให้ออกมาเคลื่อนไหวที่ศกุนไม่ยอมเซ็นรับรอง
4
ไม่ว่าที่นี่จะเป็นแผ่นดินแม่หรือแผ่นดินอื่นใด สิ่งที่เราจะรักษาไว้ คือสภาพจิตวิญญาณของสิ่งนั้นที่ธรรมชาติสร้างมา "ให้ผมหยุดทำแบบนี้ผมก็คงจะสอนหนังสือต่อไปไม่ได้ " เขาบอกหลายๆคนถึงจุดยืน เช่นเดียวกับคนเมืองนี้หลายคนทำให้เขาเห็นว่า แม้จะมีบุคลิกเย็นเยียบยิ้มง่าย แต่ถึงเวลาต้องการรวมพลังเพื่อแสดงสปิริตบางอย่างพวกเขาก็พร้อมแสดงออกอย่างแข็งกร้าวเช่นกัน
เขานึกถึงภาพเด็กชายศกุนที่ตามญาติๆเดินขึ้นดอยในคืนก่อน 15 ค่ำเดือน 6 เพื่อสักการะพระธาตุและรำลึกถึงผู้นำสร้างถนนขึ้นสู่พระธาตุอีกด้วย เขายังนึกถึงนายศกุนในช่วงเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่มีโอกาสเดินขึ้นอีกหลายครั้ง จากกิจกรรมเดินนมัสการ เพื่อบอกแรงศรัทธาความผูกพันวัฒธรรมท้องถิ่น ความเป็นธรรมชาติ และการอยู่ร่วมกันของนักศึกษากับพื้นที่
ตลอดบ่ายวันนั้น ศกุนนั่งอยู่ที่ห้องหับแห่งนั้นจนย่ำค่ำ พลันตัดสินใจได้แล้วว่าจะกู่ก้องเรียกร้องตัวเองให้ดำเนินวิถีไปแบบไหน แม้ทราบดีว่าห่างออกไปราวห้ากิโลเมตรเจ้าหน้าที่รัฐกลุ่มหนึ่งกำลังเดินทางมา เพื่อบอกเขาและเอาเอกสารมาให้เซ็นอีกครั้งเพื่อให้หยุดการเคลื่อนไหวก่อนจะใช้มาตรการเด็ดขาด
ขณะเดียวกับเสียงเมโลดี้กีต้าร์คลอจากลำโพงขยายเสียงในห้องก้องขึ้นเป็นเพลงจากวงดนตรีเดียวกับภาพโปสเตอร์ตรงผนัง
ในโลกที่คนหนุ่มคิดฝัน เวลานั้นเขารู้แล้วว่าจะโบยบินต่อไปอย่างไร
"Blackbird singing in the dead of night
Take these broken wings and learn to fly
All your life,
You were only waiting for this moment to arise" …
*Blackbird ขับร้องโดย Paul McCartney ถูกบรรจุไว้อย่างสวยงามในอัลบั้ม The Beatles(1968)
#TheIsaander #สำหรับผู้ใช้ภาษาอีสาน #สำหรับผู้ใช้ภาษาไทย #เรื่องสั้น #เชียงใหม่ #TheBeatles #PaulMccartney #จ่านิว #หายไวไวเด้อ
Comments