"มันบ่มีไผอยากไปดอกเพื่อน มานี่กะยากลำบาก มันบ่ได้สวยหรูคือในซีรีย์เด่ ชีวิตผีน้อยฮั่นนะ”
(ไม่มีใครอยากไปหรอกเพื่อน มันไม่ได้สวยหรู่อย่างในซีรีย์ ชีวิตผีน้อยหน่ะ)
บทสนทนาเริ่มขึ้นหลังจากต่อสายหาเพื่อนมันธยมต้นคนหนึ่ง ผ่านสิ่งประดิษฐ์ของอ้ายมาร์คซัคเคอร์เบิร์กคิดค้นขึ้น การกำเนิดขึ้นของเฟซบุ๊กเปรียบเสมือน รอยเขียนชอล์กบนกระดานดำ เมื่อหมดบันทึกช่วงเวลาแล้วลบเลือนหายไป ให้กลับมาความทรงจำอีกครั้ง กลายเป็นบทสนทาจากเพื่อนที่ไม่เจอกันนานกว่า 7-8 ปี จากเกาหลีใต้ถึงอีสานบ้านเฮา
บักพงษ์ ผมเรียกมัน ด้วยความสนิท เคยไปกินอยู่บ้านมันรู้จักพ่อกับแม่มัน เป็นเพื่อนกันช่วงมัธยมต้น พอขึ้นมอปลายด้วยความที่พงษ์เป็นคนใจห้าวหน่อย เขาเลือกเบนเข็มจากสายสามัญสู่สายวิชาชีพ เทคนิค
พงษ์เป็นคนจังหวัดสกลนครอำเภอห่างไกลจากตัวเมืองมาก เขาเข้าไปเรียนในเมืองห่างไกลพ่อแม่หน่อย ด้วยแต่เด็กพ่อแม่ตามใจเขามาก เขาเลยเกเรหน่อย เรียนช้าไปสามปี มีวุฒิได้ ปวช.
หลังจากนั้นเขาได้แต่งงานกับรุ่นน้องในหมู่บ้าน ตอนอายุอานามเพียง 18-19 ปี และมีลูกด้วยกัน 2 คน หลังจากใช้ชีวิตพึ่งพาครอบครัวพ่อแม่อยู่สักพัก เขาต้องออกหาเงินเลี้ยงดูสร้างครอบครัว เขาไปเป็นช่างซ่อมรถ แต่รายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย
พงษเห็นประกาศรับสมัครของกรมแรงงานจังหวัด รับคนไปทำงานเกาหลีใต้ รายได้ดีภายใต้ความร่วมมือของรัฐบาล เขาตัดสินใจสมัครทันที แต่ด้วยขั้นตอนวิธี ทำให้เขาสอบไม่ผ่านภาษาเกาหลี และด้วยตัวเขามีรอยสัก ทำให้ไม่สามารถไปทำงานได้อย่างที่หวัง
แต่ที่กรมแรงงานนี้เอง เขาเจอกับนายหน้ามาติดต่อว่าสามารถพาไปเกาหลีได้ โดยที่ไม่ต้องผ่านขั้นตอนยุ่งยาก แถมรายได้ดีกว่าอีก
ได้ยินแล้วมันก็น่าเสี่ยง แต่ต้องมีเงินคนละ 150,000 บาท เพื่อเป็นค่าจัดการต่างๆเพื่อจะนำพาตัวเขาเข้าไปทำงานที่แดนกิมจิได้
“มันกะเป็นตาเสี่ยงเด่ เห็นคนแถวบ้านไปเขากะมีเงินมีทอง สร้างบ้าน ซื้อรถได้ เฮากะอยากมีคือกัน”
(บ่แปลแล้ว อ่านเป็นอีสานนำกันเด้อ )
ลำพังวุฒิการศึกษาแค่นี้ ทำงานที่ไทย ได้ดีสุดก็ 9,000-10,000 บาท ลูกสองคนคงไม่พอใช้
พงษ์กับเมียปรึกษาพ่อแม่ กู้เงินมาจำนวนหนึ่ง แล้วตกลงบินไปเกาหลี แสวงโชค แบกความหวังครอบครัวหอบหิ้วเงินวอนกลับบ้านเกิด ทิ้งลูก 2 คนไว้ ที่เพิ่งหย่านมและ 2 ขวบไว้กับตายาย
หลังจากนั้นเขาผ่านด่านหินที่สุดของผีน้อยคือ ตม.(ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง) มาได้ ด้วยความที่เขาถูกเทรนจากนายหน้ามาอย่างดี และเตรียมตัวมาพอสมควร ที่จะเชื่อได้ว่าเขาสองคนมาท่องเที่ยว
“เฮาเหยียบแผ่นดินเขา กะถือว่า โกงแล้ว คนไทยนำกันนี้ละโกง สาระพัดสาระเพ”
แรกเริ่มเดิมทีนายหน้าผู้ติดต่อให้เขาทำงาน จะจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพ พร้อมส่งถึงหน้างาน
พอไปถึงจริงๆ ได้แต่นอนอยู่ในห้องไม่มีงานทำ
“เฮาถืกหลอก นายหน้าหลอกเฮา บ่มีงานเฮ็ด เหลือเงินอยู่ 50,000 วอน กินข้าววันละคาบตอนนั้น”
งานแรกของพงษ์กับเมียเป็นคนสวนในไร่สตอเบอรี่ ทำทุกอย่างตั้งแต่ปลูก ฉีดยาฆ่าแมลง จนถึงเก็บผลผลิต
"พ้อนายจ้างดีกะซำถึกเลข ถ้าพ้อบ่ดีกะซำตกนรกเลย”
2 เดือนแรกเขาได้ค่าจ้างอย่างที่หวัง ตกเฉลี่ยคนละประมาณ 30,000 บาท แต่พอมาเดือนที่ 3-4 นายจ้างบอกว่าให้รอเงินจากการขายผลผลิตออกก่อน เขาทำงานฟรีสองเดือนแล้วจึงตัดสินใจหนีออกมาจากฟาร์มสตอเบอรี่ เพราะ ดูแล้วไม่น่าจะได้เงินค่าจ้าง
"เข้าใจสถานะแล้วเพื่อน ตอนนั้นมันคือจังเฮาบ่สามารถไปเรียกร้องหยังได้ ฮู้โตดีว่ามาผิดกฏหมาย กะอยู่ไปละถือว่าเป็นเวรกรรมเฮา”
พงษ์ย้ายออกมาโดยการแนะนำจากเพื่อนให้ติดต่อนายหน้าแล้วรถรับส่ง เขาจ่ายอีก 20,000 บาท เพื่อเป็นค่างานใหม่ที่เขาจะได้ไปทำ ตอนนี้เขาเลือกที่จะลองเสี่ยงกับงานสายโรงงานดู ท่าจะเหนื่อยน้อยกว่าภาคเกษตร ที่ต้องตากแตดตากลมฝนหิมะ
ที่โรงงานนี้เอง เขาได้เงินดี เจ้านายดี งานที่ทำก็ถือว่าดีอีก แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนขยัน คนไทยด้วยกันที่มาก่อนหน้านี้เลยไม่ค่อยชอบขี้หน้าสักเท่าไหร่ ด้วยความที่รู้ว่าตัวเองเลือดร้อนหน่อยเลยเลือกที่จะย้ายหนีไปที่อื่น
ที่ทำงานต่อมาเขาเลือกไปทำงาน ไร่โสม งานก็สบายแต่ดูแล้วนายจ้างตุกติก จ่ายเงินไม่ตรงตามเวลา เขาเลยเปลี่ยนงานไปอยู่กับนายหน้าคนไทย ที่รับเหมาแรงงานภาคเกษตร ตั้งแต่ปลูกต้นไม่ เก็บผลผลิต ฉีดยาฆ่าแมลง ทำทุกอย่าง
"อยู่กับนายหน้าคนไทย กะยังมาโกงเฮาอีก รับเงินมา แบ่งให้เฮาซ่ำเงินทอนหนิ “
ค่าแรงที่เขาควรได้รับ หนึ่งเดือน ประมาณ 40,000-50,000 บาท แต่ที่นี้กดค่าแรง อ้างว่าเป็นค่านายหน้า ค่าตำรวจ ต่างๆนานา เขาได้รับเพียง 30,000 บาท ทำให้เขาย้ายงานอีกครั้ง
การย้ายงานของผีน้อยเกาหลีใต้ จะมีนายหน้าหางาน ซึ่งจะรับผิดชอบดีลงานกับนายจ้างเกาหลี และมีรถรับส่ง แต่ละครั้งจะต้องจ่ายเป็นเงินประมาณ 20,000 บาท
พงษ์และเมียดิ้นรนหางานทุกอย่างที่คิดว่าจะสร้างเงินให้เขาได้
ผ่านมา 3 ปี จนตอนถึงตอนนี้ พงษ์ ได้งานเป็นช่างประกอบอะไหล่รถยนต์ ในโรงงาน ได้เงินเดือน 40,000 บาท หักค่ากินประมาณ 10,000 บาท เหลือเก็บเดือนละ 30,000 บาท ส่งกลับบ้านให้ลูกและพ่อแม่
"ทุกมื้อนี้ อยากกลับบ้านเฮาพุ่นละ มันบ่ได้สะบายดอกเพื่อน แต่มันเลือกบ่ได้เด่”
“อยู่หลบๆซ่อนๆแล้วทุกมื้อนี้ ตำรวจลงหลาย บ่ฮู้ว่ามือไดชิถืกจับคือกัน"
“ถ้าเกิดถืกจับตอนนี้ กลับไปจักชิไปเฮ็ดหยังชิได้เงินซำนี้ ขอเก็บเงินอีกจักหน่อยก่อน”
พงษ์บอกว่าปัญหาส่วนใหญ่ของคนผีน้อยไทยในเกาหลีจะเป็นเรื่องการโกง ทะเลาะวิวาท และยาเสพติด จากคนไทยเองเป็นส่วนมาก
“ถ้าผีน้อยมาแล้วมาสร้างเรื่อง ตีกัน ขายยาบ้า มันเฮ็ดให้ชื่อเสียงไปทางที่ลบ อยากขอร้องละ มาแล้วกะเฮ็ดตัวดีๆกันแหน่”
ทุกครั้งที่พงษ์เห็นข่าวการถกเถียงกันระหว่างผีน้อยกับนักท่องเที่ยวไทยที่เข้าเกาหลี บ้างก็ถูกกักอยู่สนามบิน บ้างก็จะยกเลิกฟรีวีซ่า เขาเห็นใจทุกฝ่ายเลย และอยากให้มองในมุมมองของผีน้อยด้วยว่าเขาต้องลำบากตรากตรำไปทำไม
“เห็นใจทุกฝ่าย เฮากะฮู้ว่าเฮาผิด มาเฮ็ดแบบนี้ เฮ็ดให้คนมาเที่ยวเขายากลำบาก
“
“แตกะเห็นใจเฮาแหน่เพื่อน
บ้านเฮาจน เฮาเลือกบ่คอยได้”
.
.
บทสนทนาล่วงเลยผ่านมากว่าครึ่งชั่วโมง ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบกัน ฝากถามหาเพื่อนที่ห่างหายกันมานาน ก่อนจาก พงษ์บอกว่า
“ไว้กลับไทย ซิไปกินเหล้านำเด้อเพื่อน คิดฮอดแฮง คิดฮอดปลาแดกตำบักหุ่งคัก กินกิมจิมันแซบคือส้มผักเสี่ยนดอกเพื่อน”
ภาพประกอบสถานที่จริงโดย: พงษ์
พบกับรายงานเรื่อง ผีน้อยไทยในเกาหลี ฉบับความยาวได้ที่ The Isaander ในวาระต่อไป.
____
Comments