top of page
Writer's pictureThe Isaander

ฉายาการเมือง 2562

ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่าน คณะหมอลำการเมืองไทยกลับมาเข้าสู่ระบบการเลือกตั้งอีกครั้ง ทุกอย่างดู หมุ่นอุ้ยปุ้ย ขี้ดินไหง่กุ๊บ หลากหลายเรื่องราวทั้งหน้าฉากและหลังฉาก ทั้งบทโศกบทเศร้า เคล้าอารมณ์ขัน ในวาระสิ้นปี ดิอิสานเด้อ ขอมอบฉายาเหล่านี้ให้คณะหมอลำการเมืองไทย เป็นภาษาอีสานบ้างไทยบ้างผสมกันไป อยู่ดีมีแฮงสุผู้สุคน

รัฐบาลพอกะเทิน


หลังจากวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ประเทศไทยก็ไม่ได้สัมผัสบรรยากาศของการเลือกตั้งอีกเลย ต้องขอบคุณคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ที่หยิบยื่นการเลือกตั้งให้กับประชาชนอีกครั้ง


การเกิดขึ้นของ พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ในการเลือกตั้ง ปี 2562 นี้ คือ เครื่องยืนยันที่ชัดเจนที่สุดว่า คสช. ศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย การเขียนรัฐธรรมนูญ ที่มอบอำนาจการเลือกนายกรัฐมนตรี ให้แก่ สมาชิกวุฒิสภา(สว.) แสดงให้เห็นว่า คสช. ยังห่วงใยประเทศอยู่ แม้จะหมดจากอำนาจไปแล้ว


และเมื่อวันเลือกนายกรัฐมนตรีมาถึง พปชร . ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า พวกเขาแข็งแกร่งที่สุดในระบอบรัฐสภา ด้วยแรงหนุนของ สว. ที่ทำให้พวกเขา มีเสียงมากกว่า พรรคที่อ้างตัวว่า อยู่ฝั่งประชาธิปไตย อย่างขาดลอย จนสามารถรวบรวมเสียงพรรคต่างๆมาร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี และจัดตั้งรัฐบาลได้


โดยเสียงที่ได้ขาดลอยเสียจนเราสามารถเรียกพวกเขาได้ว่าเป็น “รัฐบาลพอกะเทิน” ที่มีเสียงอันขาดลอย และผลงานอันเฉียบคม


ฝ่ายค้านบ้านโคกสง่า


ทันทีที่ทราบผลคะแนนการเลือกตั้ง 7 พรรคที่อ้างตัวว่าอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยก็กระโดดกอดกันก่อนใครเพื่อน ทั้งยังรีบประกาศสัตยาบันแลงคาสเตอร์ เพื่อยืนยันว่า จะเป็นร่วมกันเป็น “รัฐบาลต่อต้านการสืบทอดอำนาจ”


แต่ด้วยความแข็งแกร่งของ พปชร. และ สว. ทำให้ 7 พรรคที่ควรจะได้เป็นพรรครัฐบาลตามมารยาททางการเมืองดั้งเดิม อกหักกลายเป็นฝ่ายค้าน


และหลังจากทนเป็นฝ่ายค้านได้ไม่นาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) บางคนของพรรคฝ่ายค้าน ก็ได้แอบตัดสินใจที่จะทิ้งพรรคเดิม ทิ้งอุดมการณ์ โดยพยายามทำสิ่งที่เขาเรียกว่า “ตามเสียงเรียกร้องของประชาชน” ด้วยการลงคะแนนสวนมติพรรค และแสดงออกคัดค้านมติของฝ่ายค้านหลายครั้ง


จากสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้เราเห็นถึงความกลมเกลียว ประหนึ่งสัตว์เลี้ยงจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งในภาคอีสานจนเชื่อว่า เราจึงสามารถเรียกฝ่ายค้านชุดนึ้ได้ว่า “ฝ่ายค้านบ้านโคกสง่า” อย่างไม่เคอะเขิน


นายกฯขี้สูน


พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา(ตู่) คือชายผู้เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติแห่งการเป็นผู้นำประเทศ เขามีรูปร่างสูงใหญ่ พูดจาฉะฉาน เฉียบขาด ฉลาดเล่นมุก คุยสนุกเหมือนคอลเซ็นเตอร์ รักชาติเว่อร์ๆอย่างกัปตันอเมริกา เหล้ายาไม่แตะต้อง บกพร่องไม่ใช่ความผิดตัว


พูดได้เต็มปากว่า บิ๊กตู่ไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในการบริหารประเทศด้วยลำแข้งของตัวเองโดยแท้ โดยพยายามตั้งแต่การมุ่งมั่นอ่านหนังสือจนสามารถสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร และโรงเรียนนายร้อยได้


ขยันทำงานจนลูกหลานภูมิใจได้ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ไม่ต้องใช้อำนาจสกปรกในการขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และท้ายที่สุดคัดเลือกคนดีศรี คสช. มาเป็น ส.ว. (สมาชิกวุฒิสภา) แล้วรอให้กลับมาเลือกตัวเอง


หลังจากได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างที่หวังเป็นสมัยที่สอง ด้วยความรักชาติอย่างที่สุดทำให้เขาไม่สบายใจทุกครั้งที่มีคนชังชาติมาต่อว่าการบริหารงานประเทศของตนเอง ไม่พอใจทุกครั้งที่มีนักข่าวปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมาถามคำถามที่ยากเกินไป ไม่ถูกใจทุกครั้งที่นักการเมืองมือสกปรกโจมตีเขาเรื่องการสู่อำนาจ


ด้วยความรักชาติ เรื่องพวกนี้มันก็น่าโมโหเป็นธรรมดา


ความจริงใจในการแสดงออกทางอารมณ์ของบิ๊กตู่ ทำให้นักข่าวทำเนียบรัฐบาลต่างยืนยันกันว่า เขาผู้นี้คือ นายกรัฐมนตรีที่มีจุดเดือดต่ำที่สุด ต่ำมากจนน้องเกรตาน่าจะภูมิใจ เพราะเปลืองพลังงานไม่เท่าไหร่ อะไรๆก็เดือด ก็ร้อนอย่างง่ายดาย


สามารถพูดได้เต็มปากอีกครั้งว่า เขาคือ นายกรัฐมนตรีที่นักข่าวอยู่ใกล้แล้วอบอุ่น เพราะอารมณ์กรุ่นอยู่ตลอดเวลา เราจึงต้องมอบฉายา “นายกฯขี้สูน” ให้ล่ะครับท่านผู้ชม


น้องหนูเมาซา


ขับเครื่องบินได้ ส่องพระเป็น เล่นเปียโนเพราะ เคาะคีย์บอร์ดว่องไว ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ทำให้ รัฐมนตรีจากตระกูลผู้รับเหมาก่อสร้างใหญ่นามอนุทิน ชาญวีรกูล กลายเป็น คนที่ประชาชนชื่นชอบที่สุด


ความตรงไปตรงมาของเขา คือ จุดเด่นที่ทำให้ประชาชนรัก และการตอบเฟซบุ๊กด้วยภาษาชาวบ้าน คือ ข้อดีอีกข้อของรองนายกรัฐมนตรีผู้นี้


การชูนโยบายกัญชา คือ วิสัยทัศน์ขั้นสุดยอด


เพราะมันทำให้ผู้ป่วยโรคมะเร็ง โรคมะยิง โรคมะเมา ต่างเทใจ เทคะแนนให้กับพรรคภูมิใจไทยของเขา จนทำให้รองนายกรัฐมนตรีหนูได้กลับเข้าทำเนียบรัฐบาลอีกครั้ง หลังจากหายหน้า หายตาไปเป็นเวลากว่า 10 ปี


มาถึงจุดนี้ได้ “น้องหนูเมาซา” ต้องขอบคุณพืชที่ชื่อ มาลีฮวนน่า โดยแท้


ส.ส.คนงาม


พรรณิการ์ วานิช คือ อดีตผู้ดำเนินรายการฝีปากกล้าจากช่องวอยซ์ทีวี ปัจจุบัน เธอ คือ ส.ส. หญิงอันดับหนึ่งที่ได้รับความเอ็นดูจากผู้สนับสนุนลุงตู่ และรัฐบาล ด้วยความเฟียซ เฟี้ยว จนแฟนคุณต้องเลี้ยว จนแฟนคลับเยี่ยวเหนียว จนคนในพรรคต้องเสียว


ความมั่นใจในการแถลงข่าว คือ จุดเด่นของเธอ แฟชั่นเสื้อสองสี คราวสภาทีโอที คือ การเปิดตัวสุดปัง ลีลาในการพูดการวางท่าของเธอ บ่งบอกถึงความเป็นปัญญาชนที่หลายคนอิจฉา


การที่เธอขอให้นายกรัฐมนตรีถอนคำว่า “คนสวย” เมื่อเขาได้กล่าวชมเธอ และการยืนยันว่านายกรัฐมนตรีเป็นคน “ตลก” แต่ประเทศต้องการนายกรัฐมนตรีที่ดีกว่าแค่ตลก คือ ความเด็ดเดี่ยว ที่ทำให้เธอแตกต่างจากสมาชิกรัฐสภาหญิงคนอื่นๆ


ด้วยคุณสมบัติ รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ของเธอทั้งหมดแล้ว จึงเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะยกตำแหน่ง “ส.ส.คนงาม” ให้กับเธอ เพื่อให้เธอได้ไปแข่งความงามกับคนสวยโพธารามนาม ปารีณา นั่นเอง


ต้วยขี้ชี้ขึ้นฟ้า


ปัจจุบัน บนโลกอินเตอร์เน็ต ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์วิษณุ เครืองาม ผู้ได้เป็นศาสตราจารย์ด้านกฎหมายที่อายุน้อยที่สุดในประเทศไทย เมื่อวัย 35 ปี


ถูกครหาจากคนขี้อิจฉาในอินเตอร์เน็ตว่า “บิดาแห่งการยกเว้น” บ้างก็ว่าท่านเป็น “นักบิดกฎหมาย” หรือให้ฉายาที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คือ “นักแถในตำนาน” แต่อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่า อาจารย์ท่านไม่ได้รู้สึกสะทกสะเทือนใดๆ


ด้วยความที่อยู่ในวงการการเมืองมานาน ผมเชื่อว่า ท่านมีความแข็งแกร่งทนทานเพียงพอ และน่าจะรู้ดีว่า การถูกตำหนิ ติฉิน ต่อว่า เหน็บแนม เป็นเรื่องธรรมดาสามัญของพื้นที่ที่ท่านเหยียบยืนอย่างยาวนานพื้นที่นี้ ที่ที่ท่านเองยืนเด่นมาแล้วเกือบ 2 ทศวรรษ แม้จะไม่เคยต้องลงสมัครรับเลือกตั้งแข่งขันกับนักการเมืองคนอื่นๆ เลย


พูดได้ว่า ประสบการณ์การเมืองของดร.วิษณุนั้นห่างชั้นกับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่แต่งตั้งตัวท่านมาเป็นรองนายกรัฐมนตรีอยู่หลายขุมเสียอีก และด้วยความเก๋านี้เอง ทำให้เราไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นดร.วิษณุหงุดหงิด โวยวาย อย่างที่เรามักเห็นจนคุ้นหู คุ้นตา จากนายกรัฐมนตรีช่างเจรจาผู้นั้น


และด้วยความสามารถอันเต็มเปี่ยมนี้ ทำให้ไม่ว่า ดร.วิษณุ อยู่กับรัฐบาลไหน ก็สามารถเปลี่ยนตัวเองให้เป็นอาวุธสำคัญได้ ขณะเดียวกันก็สามารถทำหน้าที่เป็นเกราะกำบัง คุ้มภัยให้กับรัฐบาลได้เช่นกัน


เอาแค่เฉพาะรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ ถ้าท่านผู้อ่านไม่ได้สมองเสื่อมเข้าขั้นอัลไซเมอร์ ก็น่าจะจำได้ว่า อาจารย์วิษณุนี่แหละ คือ คนที่ออกมาทำหน้าที่รักษาตำแหน่งให้กับใครต่อใครในรัฐบาลที่ผ่านมา หลายครั้ง หลายครา


จากหลายกรณีที่ สื่อมวลชนพยายามทำตัวเป็นอีแร้ง เข้ารุมทึ้งรัฐบาลที่มีสภาพร่อแร้ ใกล้ตายเต็มแก่ พุ่งเข้าใส่ด้วย คำถามทางจริยธรรม หรือยกข้อบกพร่อง ข้อผิดพลาด โดยรู้เท่าถึงการณ์ หรือไม่ถึงการณ์(อาจจะแค่บ้านโป่ง) ต่างๆ นานา บางอย่างมาโจมตี


แต่ก็มีเพียง ชายสวมแว่นแน่นกฎหมายคนนี้เท่านั้น ที่ก้าวออกมารับหอก ดาบ ฉาบ ฆ้อง กระบองกระบี่ ตอบคำถามที่ยากจะหาใครตอบได้ และช่วยเปลี่ยนสถานการณ์อันย่ำแย่จวนพ่ายแพ้ ให้กลับมามีแต้มต่อพออยู่ได้ ครั้งแล้ว ครั้งเบียร์


และ สำหรับ อาจารย์วิษณุ เมื่อถูกเหน็บแนม กระแนะกระแหน จี้ปม หรือกระทบกระเทียบ โดยฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะ ถูกโจมตีด้วยข้อเท็จจริงเป็นเอกสาร หรือคำพูด ท่านก็สามารถหลุดรอดการโจมตีครั้งแล้ว ครั้งเล่ามาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ด้วยการใช้หลักเหตุผลที่ยากจะหาใครในประเทศนี้เทียมเทียบ นี่คือ ความเก่งกาจของนักการเมืองท่านนี้


เพื่อยืนยันว่า การเยินยอของเราไม่ใช่เรื่องเกินเลย เราจึงขอนำตัวอย่างความฉลาดเฉลียวบางส่วนของอาจารย์วิษณุมาให้เห็นเป็นรูปธรรม เช่น สถานการณ์ในสภาเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ที่อดีตอาจารย์วิษณุ ถูกอดีตอาจารย์ ปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.ฝ่ายค้าน พรรคอนาคตใหม่ ทวงถามกึ่งเสียดสี ด้วยการยกข้อความจากหนังสือ “หลังม่านการเมือง” ที่อาจารย์วิษณุเป็นผู้เขียน มาตั้งคำถามย้อนเกล็ด จุดยืนทางหลักการด้านกฎหมายของอาจารย์วิษณุ


“นายกฯท่านอื่นๆ จะใช้วิธีอ่านทีละวรรค ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีพิมพ์ลงบัตรแข็งซึ่งดูปลอดภัยกว่าการจำ เพราะจะไม่ผิดพลาด ขืนท่องจำผิดๆถูกๆ ตกคำว่า และ คำว่า หรือ ไปซักตัวก็อาจต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า ได้ถวายสัตย์ฯครบถ้วนหรือยัง จะยุ่งเปล่าๆ”


ข้อความข้างต้นที่ปิยบุตรยกมานี้ เป็นความเห็นเกี่ยวกับการถวายสัตย์ปฏิญาณ ที่อาจารย์วิษณุเคยระบุอย่างชัดเจนว่า การกล่าวคำสัตย์ต้องครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ เพราะถ้าตกหล่นเพียงแค่บางคำ อาจทำให้เกิดปัญหาจนน่าหวั่นใจ


โดย สิ่งที่ปิยบุตรทำในครั้งนี้ คงพยายามที่จะเปรียบเทียบความเห็นในอดีตของอาจารย์วิษณุ กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลชุดปัจจุบัน เพื่อชี้ให้เห็นความไร้หลักการทางกฎหมายของตัวอาจารย์วิษณุเอง ซึ่งนอกจากจะเป็นการกระทำที่ไม่เจียมเนื้อเจียมตัวของปิยบุตรแล้ว เขายังกล้าที่จะตั้งคำถามที่ไม่สมควรจะถามกับอาจารย์วิษณุด้วยว่า


“ท่านทำงานในทำเนียบรัฐบาลมาเกือบ 2 ทศวรรษ ท่านทำงานกับคณะรัฐมนตรีมา 11 ชุด กับนายกรัฐมนตรี 8 คน ด้วยสถานะเช่นนี้ ทำให้ตัวท่านรองนายกรัฐมนตรี มีโอกาสเข้าร่วมการถวายสัตย์ปฏิญาณหลายครั้งหลายหน… ผมขออนุญาตถามท่านว่า ท่านเคยเห็นนายกรัฐมนตรีคนใดทำแบบ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาหรือไม่ แล้วท่านเห็นว่า ทำได้หรือไม่อย่างไรตามรัฐธรรมนูญ” ปิยบุตร 'เด็กเมื่อวานซืน' ถามประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อฝากต่อไปถึง วิษณุ ที่นั่งอยู่ไม่ห่างกัน


สิ่งที่เกิดขึ้นวันพุธ แสดงให้เห็นถึงความไร้กาลเทศะ ของนักการเมืองหน้าใหม่สไตล์เกาหลีผู้นั้น เพราะ โดยมารยาทแล้ว การที่จะให้อาจารย์วิษณุ ซึ่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี ชี้ความเหมาะสมของการกระทำ โดยนายกรัฐมนตรีที่มีฐานะเป็นหัวหน้า ดูจะไม่เหมาะ ไม่ควร เท่าไรนัก


และแม้ว่า หลักฐานของปิยบุตรจะแข็งแรง แน่นหนา จนคนธรรมดาน่าจะดิ้นไม่หลุด แต่ด้วยความสามารถด้านภาษาไทยใกล้เคียงราชบัณฑิตยสถาน ความเป็นเลิศด้านกฎหมายอันเอกอุ และความปราดเปรื่องของสมองที่แต้มเต็มไปด้วยรอยหยัก อาจารย์วิษณุก็สามารถตอบโต้ นายปิยบุตรอย่างคมกริบ จนปิยบุตร ต้องสงบปาก สงบคำ สิ้นแรงเถียง


“ผมจะไม่กราบเรียนครับ ว่าถ้อยคำที่ท่านนายกฯอ่าน และทุกคนกล่าวตามนั้นมีว่าอย่างไร และผมก็ไม่ทราบว่า เบื้องหน้าเบื้องหลังของการอ่านไปตามนั้น และแค่นั้น เป็นเพราะเหตุใด แต่ตรงนี้ จะอธิบายได้ด้วยคำกลางๆรวมๆ เพียงประโยคเดียวเท่านั้นที่ไม่อาจจะขยายความต่อไปอีก นั่นก็คือ การถวายสัตย์ปฏิญาณนั้นเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลกับพระมหากษัตริย์” ท่านวิษณุ ตอบกลับ อย่างชัดเน้น


“แล้วต่อมายังมีพระมหากรุณาพระราชทานพระราชดำรัสทุกคำมายังรัฐบาลอีกด้วยซ้ำไป ได้มีพระราชกระแสรับสั่งว่า ให้ไปปฏิบัติหน้าที่ คณะรัฐมนตรีรับพระราชกระแสนี้ใส่เกล้าใส่กระหม่อม ไม่ต้องตีความครับ แต่ถือว่านี่คือพระบรมราชานุญาต” อาจารย์วิษณุ ขยายความ คล้ายกับต้องการจะย้ำให้ชัดว่า ปิยบุตรควรจะหยุดแค่นี้


แน่นอนอยู่แล้วว่า อาจารย์วิษณุ เป็นผู้มีวัยวุฒิ และคุณวุฒิ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำเรื่องผิดมารยาท เช่นการชี้ว่า สิ่งที่นายกรัฐมนตรีได้กระทำลงไปนั้นผิด หรือขัดต่อกฎหมาย เพราะแน่นอนว่า อาจารย์ท่านย่อมรู้สถานะของตัวเองดี และรู้ว่า เวลานี้ควรจะช่วยจบข้อครหาต่างๆ ที่มุ่งโจมตี ผู้นำประเทศคนนี้เสียที


ถ้าท่านยังไม่เชื่อในความสามารถของอาจารย์วิษณุ เราขออนุญาต ยกตัวอย่างเพิ่มเติม ในคราวที่คุณดอน ปรมัติวินัย อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาทางกฎหมาย เมื่อพบว่า ภรรยาของตนเองถือหุ้นในบริษัทเอกชนเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งทำให้อาจเข้าข่ายขัดต่อมาตรา 187 ของรัฐธรรมนูญ


และเมื่อถูกทวงถามหาความรับผิดชอบ ด้วยการลาออกจากตำแหน่ง อดีตเจ้ากระทรวงบัวแก้ว ผมสีดอกเลาผู้นั้นกลับกล่าวผ่านสื่อทำนองว่า “ถ้าจะถามหาสปิริต ให้ไปหาจากนักกีฬา” ซึ่งนอกจากคำตอบนี้จะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้ว ยังก่อให้เกิดกระแสตีกลับจากอินเตอร์เน็ตอย่างมหาศาล


จนทำให้ อาจารย์วิษณุ ต้องออกมาแก้สถานการณ์อีกครั้ง โดยนอกจากจะเป็นการตอบคำถามสื่อมวลชน เพื่อปกป้องรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลของตนเองแล้ว การตอบคำถามในครั้งนั้นของอาจารย์ ยังแสดงให้เห็นถึงหัวจิตหัวใจอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา และมนุษยธรรม เพราะ แม้หลักฐานในกรณีดังกล่าวจะค่อนข้างชัดเจน แต่แทนที่อาจารย์วิษณุจะชี้แจงประเด็นนี้ด้วยหลักกฎหมาย แล้วหลงลืมความเป็นคน อาจารย์กลับตอบคำถามกฎหมายที่เจือความห่วงใยเอาไว้อย่างแนบเนียน


“บังเอิญว่าภรรยาของคุณดอนมีมรดก จึงได้นำมาตั้งบริษัทกับพี่น้องภายในครอบครัว และถือหุ้นกันเองภายในพี่น้อง 7 คน โดยไม่มีคนอื่น ซึ่งก็แน่นอนว่าต้องเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ แล้วหุ้นนี้ของบริษัทนี้ไปดำเนินการทำคอนโดมิเนียมดูแลเก็บค่าเช่าเองเป็นบริษัทครอบครัว ไม่ได้ค้าขาย ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เพราะฉะนั้นพูดถึงความสุจริต เราก็พอจะมองเห็น”


และอีกครั้ง ที่ดอกเตอร์วิษณุ เผยอีกด้านของความดีงามในตัว คือครั้งที่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปร่วมงานสัมมนากับพรรคพลังประชารัฐ ในขณะที่ลุงป้อมยังไม่ได้มีพันธะผูกพันใดๆในฐานะสมาชิกพรรค จนเกิดข้อครหาว่า ท่านอาจละเมิดกฎหมายว่าด้วยการเป็นคนนอกที่เข้าครอบงำพรรค ตามมาตรา 28 ของรัฐธรรมนูญ


ครั้งนั้น ดอกเตอร์วิษณุ ผู้จัดเจนข้อกฎหมาย เลือกที่จะไม่แสดงความคิดเห็นอะไรต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แม้จะถูกตั้งคำถามจากสื่อมวลชน เพราะท่านน่าจะรู้ดีว่า หากต่อความยาว สาวความยืด อาจเป็นเหมือนการราดน้ำมันลงบนกองไฟ ท่านจึงเลือกที่จะ “ไม่ตอบ” ในประเด็นที่ไม่ควรตอบ ซึ่งทำให้เราแน่ใจได้ว่า ท่านตระหนักถึงความหมายที่แท้ของสุภาษิต “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” ดีกว่า ตัวท่านประวิตร หรือแม้กระทั่งบิ๊กตู่เองด้วยซ้ำ


นั่นแหละครับท่านผู้อ่าน ตัวอย่างเหล่านี้เป็นเพียงเสี้ยวเล็กๆ ของความฉลาดหลักแหลมของปราชญ์ทางกฎหมายท่านนี้เท่านั้น แต่เพียงแค่นี้ ก็น่าจะทำให้ท่านวิษณุ มีสถานะอยู่ในระดับเทียบเท่ากับ จอห์น ล็อก หรือแทบจะทำให้ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องมีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษร ตราบเท่าที่ชายผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ เพราะ มหาบุรุษท่านนี้เปรียบเสมือนตู้หนังสือกฎหมายเคลื่อนที่อยู่แล้ว


การพลิกแพลงวรรคตอน สร้างคำ สร้างประโยคใหม่ ของอาจารย์ นอกจากเป็นการประกาศศักยภาพด้านภาษาแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงความไม่ยึดติดกับหลักการ เหตุผล หรือความเชื่อเดิมๆที่ตัวอาจารย์เองเคยมี มันแสดงให้เห็นว่า อาจารย์ไม่ได้จ่อมจมกับหลักเหตุผลที่หมดอายุในอดีต และไม่เคยแม้แต่จะสนใจว่า ในอดีตที่ผ่านมา ตัวท่านเองเคยพูดว่าอะไร


มันคือเครื่องยืนยันอันชัดเจนว่า คนเก่งอย่างอาจารย์วิษณุมุ่งสนใจเพียงปัจจุบันสมัยเท่านั้น ด้วยแนวคิดเช่นนี้ เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม ท่านจึงสามารถพูดหรือให้เหตุผลที่ต่างจากสิ่งที่ท่านเคยพูดในอดีตโดยสิ้นเชิงได้ สามารถเสนอแนวคิดใหม่ที่ขัดแย้งกับแนวคิดเดิมๆของตัวเองอย่างคนละขั้วได้ ทั้งยัง อธิบายความได้อย่างชัดถ้อย ชัดคำ ไม่มีเคอะเขินใดๆอีกด้วย


ดังนั้น หลายสิ่งที่อาจารย์วิษณุได้กระทำลงไปในประวัติศาสตร์การเมือง จึงสามารถเรียกในทางวิชาการได้ว่า ความลื่นไหลทางภาษา และอุดมการณ์


และ “ความลื่นไหลทางภาษา และอุดมการณ์” นี้คือหลักฐานที่ชัดเจนที่สุด ที่แสดงให้เห็นว่า อาจารย์วิษณุ เป็น สัตว์ที่มีวัฒนาการอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี ทั้งยังมีสัญชาติญาณการเอาตัวรอดเต็มเปี่ยม


ท่านสามารถทานทนกับสภาพบรรยากาศการเมืองที่แปรเปลี่ยน สามารถเปลี่ยนสี และแอบแฝงอำพรางตัวได้อย่างเป็นเลิศ หาใครเปรียบเทียบเทียมได้ จนเราสามารถพูดได้เต็มปากว่า นักการเมืองน้ำดีคุณสมบัติเพียบพร้อม ชื่อ วิษณุ เครืองาม จะยืนเด่นในสนามการเมืองต่อไปอีกนานเท่านาน


ความจริงแล้ว ถ้าหากจะให้เราเอ่ยถึงความดีงามของท่านวิษณุ เราเชื่อว่า กระดาษซักหนึ่งรีมก็น่าจะไม่เพียงพอ ภาษาไทยทั้งพจนานุกรมก็คงจะบรรยายสรรพคุณอันมากล้นของท่านไม่ไหว เอาเป็นว่า เราอยากจะให้ท่านรู้เพียงว่า “เชื่อวิษณุ ชาติพ้นภัย” นะครับนะ


เราจึงขอยกชื่อ “ต้วยขี้ชี้ขึ้นฟ้า” ให้แก่ท่านศาสตราจารย์ดอกเตอร์กฎหมายท่านนี้ ผู้ชี้นกเป็นเป็นเครื่องบินก็ได้อย่างง่ายดาย


นางพญาคันคากขึ้นวอ


ศรีนวล บุญลือ เปิดตัวอย่างสวยหรูด้วยการได้คะแนนถล่มทลายในการเลือกตั้งซ่อมที่เชียงใหม่


กลายเป็นคนที่พรรคมอบหมายให้กล่าวชื่อ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นนายกรัฐมนตรีในนาม 7 พรรคฝ่ายค้าน


อู้กำเมืองในสภาถี่ๆ จนกลายเป็นดราม่า ภาษาและชาติพันธุ์ ร้อนถึงโฆษกพรรคคนสวยต้องออกมาปกป้อง


ให้หลังไม่นานเธอพบทางสว่าง เลือกที่จะไม่ลงคะแนนเสียงตามมติพรรค มติฝ่ายค้าน เธอเริ่มทิ้งห้อย ถอยห่าง ออกจากพรรคที่ทำให้เธอมีโอกาสได้เป็นสมาชิกผู้ทรงเกียรติของสภาผู้แทนราษฎร


ในที่สุดพรรคอนาคตใหม่ อดรนทนไม่ได้ที่จะให้เธออยู่ในพรรคต่อ จึงลงมติให้เธอและเพื่อนอีก 3 คนที่ไม่มีใจออกจากพรรคไป ถ้าเป็นคนอื่นคงรู้สึกอกหัก เพราะพรรคที่ร่วมเรียงเคียงหมอนกันมา กลับผลักไสและไล่ส่งกัน


แต่หญิงแกร่งอย่างศรีนวลบ่มีน้ำตาเจ้า เพราะ เธอกระโดด กระโจนสู่อ้อมอกเสี่ยงหนูอย่างรวดเร็วง่ายดาย ร่วมงานเลี้ยงพรรครัฐบาลได้อย่างไม่เคอะ ไม่เขิน และไม่บังเอิญ


หลายคนอาจจะมองว่าเธอ คือ งูเห่า แต่สำหรับเรา ถึงเธอจะเป็นงูเห่า เธอก็ไม่เคยกัด เธอน่าเอ็นดูกว่านั้นมาก เราจึงอยากจะให้ชื่อเธอว่า “นางพญาคันคากขึ้นวอ” จากความมั่นใจในคะแนนเสียงของเธอที่เชียงใหม่ ชายเหมี่ยง นั่นเอง


จึ่งขึ่งดังแดง


นักการตลาด ผู้อยู่ในสนามเมืองมายาวนาน เคยนั่งถึงรองนายกรัฐมนตรี ฟากฝั่งพรรคเพื่อไทย แต่หลังลาออกจากพรรคในปี 56 เงียบหายไปนาน ก่อนโผล่มาอีกทีกับบทบาทหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ เพียงไม่กี่เดือน ลุงมิ่ง-มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ สามารถนำคาเรคเตอร์ตัวเองมาสร้างเป็นจุดขายจนนำ ส.ส.พรรค เข้าสภาได้ถึง 6 คน


หลังจากผลการเลือกตั้งประกาศออกมา ลุงมิ่งทำตามสัญญาประชาชนว่าไม่เอาด้วยกับฝากฝั่งเผด็จการ ด้วยการจับมือกับขั้วการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย แต่วันแรกก็ไม่โผล่ไปร่วมแถลงข่าวกับเขา ทำให้โดนจับจ้องว่า จะแอบหนีไปเข้าร่วมกับฝ่ายพรรคสนับสนุนลุง จนมี #มิ่งขวัญงูพิษ ของตัวเองติดเทรนด์ทวิตเตอร์


ทั้งการปล่อยข่าวจากสองฟากฝั่ง และการโหวตสวนมติฝ่ายค้านของ ส.ส.ในพรรคเศรษฐกิจใหม่ มิ่งขวัญ ในฐานะภาพจำผู้ทุกสิ่งอย่างของพรรค จึงกลายเป็นคนรับชะตากรรม


เมื่อต้นเดือนธันวาคม 62 หลังจากที่ ส.ส.บางส่วนของพรรคไปโหวตตรงข้ามกับวิปฝ่ายค้าน ลุงมิ่งถึงกับควันออกหู ดังแดง(จมูกแดง) ประกาศทำนองว่า “มีวันนี้เพราะผมทั้งนั้น”


ลุงมิ่ง ผู้ปลุกปั้นพรรคเศรษฐกิจใหม่มาด้วยน้ำเสียง และลีลา ในวงประชันวิสัยทัศน์ ศึกเลือกตั้ง 62 หอบหิ้วฟิวเจอร์บอร์ดมากมายจนกลายเป็นภาพจำ 4.8 แสนเสียง คงเป็นคำตอบของนักการตลาดผู้นี้


แต่ด้วย อภินิหารการเมืองไทย หลายครั้งทำให้ลุงมิ้งต้องโกรธ ปริ๊ดแตก ดังแดง ควันออกหู จนเรามอบฉายา “จึ่งขึ่งดังแดง” ให้กับลุงมิ่ง ที่ต้องหัวเสียกับ ส.ส.ในพรรคหลายครั้ง เหมือนกับตำนานที่เล่าขานกันที่เก่งคุดคู้ เมื่อยักษ์ตนหนึ่ง ที่โดนหลอกให้แบกไม้ไผ่ข้ามแม่น้ำโขง แล้วไม่ไผ่หักแทงตัวเองตาย กลายเป็นแก่งที่กั้นกลางแม่น้ำโขง จนถึงมาถึงทุกวันนี้


โอ้ปป้าเต้ยโศก


โอ้ปป้า หน้าเกาหลี นามปิยบุตร แสงกนกกุล เซ็นเตอร์วงอนาคตใหม่ เบอร์ 2 ผู้ลาออกจากตำแหน่งอาจารย์มหาวิทยาลัยมาลงมาสนามการเมืองแห่งความหวัง อย่างที่เขาฝันไว้


แต่แล้วอาจารย์นักกฏหมายผู้เชี่ยวชาญกฏหมายมหาชน ขนตำรับ ตำรา ลงมาบนถนนการเมืองไทย ถึงกับต้องมึนงง เหมือนโอ้ปป้าจองกุก วง BTS ที่ต้องมาจับไมค์ฟ้อนใส่แคนร้องเต้ยโศกแข่งขัน เก็บตำรับตำราแทบไม่ทัน เมื่อเจอนักชกรุ่นเก๋าผู้เป็นอาจารย์ นามเชี่ยงเมี่ยงลอดป่อง(ศรีธนญชัย ลอดช่อง) ชี้นิ้วหาป่องทางกฏหมาย จน ส.ส.หนุ่มหน้าเกาหลีต้องเกาหัว บ่น อิหยังวะ หลายรอบ จนเพลี่ยงพล้ำให้คู่ดูโอ้พ่อของฟ้า ได้เข้าสภาแค่ครั้งเดียว


อีกทั้งยังมีคดีที่จ่อเด็ดหัวอนาคตใหม่ ที่ปิยบุตรบอกว่ายังไงก็ไม่ผิด อีกเพียบ ทั้ง กรณียืมเงินหัวหน้าพรรคพรรค, คดีอิลลูมินาติ ที่แปลกประหลาด แต่ด้วยกรรมการในสนามที่เอียงยิ่งกว่าเสาเถียงบักเชียงแล้ว บอกเลยว่า รอดย๊ากกก จน ส.ส. อจ.หนุ่มนักกฏหมาย ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์การเมืองฝรั่งเศส ผู้เชียร์ลิเวอร์พูล ต้องหัดร้องเพลง กอดเสาเถียง ไว้จักหน่อย


ฉายา “โอปป้าเต้ยโศก” เหมาะสมอีหลีอีหลอ กับ ส.ส. ท่านนี้


ขุนช้างฮ้างฮัก


ด้วย ร่ำรวยกระบวยเลี่ยมทอง เป็นที่หมายปองของสาวๆ เป็นที่รักของอ้ายบ่าว เป็นหนุ่มห้าวขวัญใจปัญญาชน ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จึงกลายเป็นความหวังใหม่แห่งการเมืองไทยอย่างแท้จริง


โดยในทุกการปราศรัยของเขา มักเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น มีคำคมที่กลั่นออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจผู้รักประชาธิปไตยอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้เขากลายเป็นที่รักของวัยรุ่นได้อย่างง่ายดาย เพราะคนยุคหลังอาจจะเบื่อหน่ายกับนักการเมืองอาวุโส สูงวัย หน้าไม่ใหม่ กันเต็มกลืน


แม้ในหลายครั้ง ธนาธร จะเคลมว่า พรรคอนาคตใหม่ ได้รับคะแนนนิยมเป็นอันดับ 3 ของประเทศ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่พวกเขาสามารถคว้าที่นั่ง ส.ส. มากเป็นอันดับ 3 ของสภานั้น ส่วนนึงมาจากการที่พรรคไทยรักษาชาติ ศูนย์รวมอดีตสตาร์พรรคไทยรักไทย ถูกยุบ นั่นเอง


และสำหรับตัว ธนาธร หลังจากประกาศความสำเร็จได้ไม่นานนัก ความโชคดีก็กระแทกเข้าเบ้าตาอย่างจังจำ จนทำให้เขาได้ทำหน้าที่ ส.ส. อย่างที่หวังแค่ชั่วกลิ่นตดจาง เพราะด้วยพิษคดีถือหุ้นนิตยสารที่เลิกกิจการไปแล้ว ทำให้เขาถูกแขวนไม่ให้ทำหน้าที่ในสภาอย่างยาวนาน จนกระทั่งถูกตัดสิน ให้เป็นคนไม่มีคุณสมบัติจะเป็น ส.ส. และต้องลาสภาไปอย่างถาวร(ในสมัยนี้)


แต่เท่านั้นยังไม่พอ ความห้าวเป้งของเขาและพรรคพวก ทำให้คดีต่างๆ กระหน่ำถาโถมเข้าใส่พรรคเป็นพายุ จนหมอดูทุกสำนักได้ฟันธงกันแล้วว่า เห็นที “พ่อของฟ้า” ท่านนี้ คงจะได้กลับไปเป็นนักธุรกิจเต็มตัวในเร็ววัน ดังนั้นเราจึงขอยกนาม “ขุนช้างฮ้างฮัก” ให้กับเขา เพราะน่าจะเหมาะสมไม่เบา กับความเศร้าที่เขาต้องเผชิญในฐานะนักการเมือง


ห่อมกฮวกไปฝากลุง


มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ นักการเมืองหน้าใหม่ ที่ใครหลายคนเรียกว่าเขาว่า “พี่เต้” คนนี้ คือ ส.ส. ที่มีจุดยืน


“พลเอกประยุทธ์ ถ้าอยากจะลงเล่นการเมืองก็ไม่สมควรเป็นกรรมการตั้งแต่ต้น ต้องออกจากนายกรัฐมนตรี ต้องออกจาก หัวหน้า คสช. แล้วก็มาลง ส.ส. บัญชีรายชื่ออันดับหนึ่ง มันน่าจะแฟร์กว่า… ค่อนข้างเอาเปรียบมาก ในมุมผมอยากให้แกลาออกไปดูแลภรรยา และดูแลลูก ไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์อยู่แล้ว”


นั่นคือ คำพูดของเขาก่อนเลือกตั้ง และเขาคงเดิมคนนี้เอง ยังเคยกล่าวผ่านสื่อว่าได้้เป็นผู้ยื่นร้อง กกต. เรื่องที่พรรคพลังประชารัฐนำชื่อ โครงการประชารัฐของรัฐบาล คสช. มาตั้งเป็นชื่อพรรคอย่างไม่เหมาะสมด้วย


การแสดงจุดยืนก่อนเลือกตั้งของเขาหลายครั้งนั้น จึงสามมารถอนุมานได้ว่า เขามีจุดยืนตรงข้ามพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างชัดเจน


แต่หลังจากที่เขาได้รับการอนุเคราะห์จาก กกต. จนได้เป็น ส.ส. เขาก็แสดงจุดยืนอีกครั้ง ด้วยการประกาศอย่างแทบจะทันทีทันใดว่า เขา “สนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี” เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อ


แต่แล้วไม่นานหลังจากได้ร่วมรัฐบาล และพบว่า ไม่ได้ตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีใดๆ พี่เต้ก็ประกาศจุดยืนอีกทีว่า ได้นำตัวเองและพรรคออกจากการร่วมรัฐบาลแล้ว โดยขอออกมาตั้งเป็นฝ่ายค้านอิสระ


แต่(หลายแต่จัง) แค่ชั่วเรอยังบ่ทันหายเหม็น ในงานเลี้ยงพรรคร่วมรัฐบาล พี่เต้ก็ไปปรากฎตัวที่นั่น ทั้งยังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับคนที่เขาเคยไล่ให้ไปเลี้ยงลูกด้วย


จากพฤติกรรม ด่าเอง กอดเอง นักเลงขนาดนี้ เราจึงขอมอบชื่อ “ห่อมกฮวกไปฝากลุง” ให้กับพี่เต้ พระราม 7 ผู้นี้นี่เอง


บักผีเร่ร่อน


“เมื่อบวกลบคูณหารแล้ว ถือว่าเขาเป็นนายกฯที่ดีที่สุดที่ประเทศนี้เคยมีมา” สนธิ ลิ้มทองกุล เคยกล่าวถึง ทักษิณ ชินวัตร เอาไว้ในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ในปี 2547


แต่ผ่านเวลาไม่นาน ปี 2548 “เมืองไทยรายสัปดาห์” ก็ถูกถอดออกจากผังช่อง 9 ตามมาด้วยการที่ ทักษิณ ได้ฟ้องร้องดำเนินคดีกับ สนธิ ในข้อหาหมิ่นประมาท สิ่งที่เกิดขึ้นนี้นำไปสู่การเคลื่อนรายการลงถนน เป็นจุดกำเนิดของ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือคนเสื้อเหลือง และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ กีฬาสีในประเทศไทย นับแต่นั้นเป็นต้นมา


จากนายกฯ ที่ดีที่สุดในสายตาสนธิ ทักษิณได้กลายเป็นผีที่เข้าสิงสู่การเมืองไทยครั้งแล้วครั้งเล่า นับแต่นั้นเป็นต้นมา เพราะในทุกปัญหาการเมืองจะมีชื่อของเขาอยู่ด้วยเสมอ


บนโลกอินเตอร์เน็ต เขาคือคนที่รวยมากที่สุดคนหนึ่งของโลก เพราะในหลายกรณี ชาวเน็ตเชื่อว่า เขาเป็นผู้จ่ายเงินซื้อนักการเมือง นักวิชาการ และมวลชน เพื่อให้มีความเห็นโน้มเอียงไปหาเขา


และแม้จะไม่ได้กลับเมืองไทยมา 10 ปีกว่า หรือ นานๆจะแสดงความเห็นทางการเมืองที แต่เมื่อเกิดเหตุอะไรขึ้น ชื่อเขาก็ยังถูกเอ่ยถึงเสมอ ไม่ว่าเขาจะล่องลอยไปอยู่ในประเทศใด เมืองใด


จึงไม่สามารถจะเรียกเขาเป็นอื่นใดได้ นอกจาก “บักผีเร่ร่อน”


น้องหล่าผู้น่าเหลียโตน


“ทหารต้องตายในสนามรบ วันนี้ดิฉันก็ต้องตายในสนามของประชาธิปไตย”


ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เคยกล่าวไว้อย่างฉะฉาน หนักแน่น ในปี 2557


“...”


ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ได้กล่าวอย่างฉะฉาน หนักแน่น ในปี 2560 เพราะ เธอหายตัวไปจากประเทศไทย ไม่มาตามนัดของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในวันพิพากษาคดีทุจริตจำนำข้าวซึ่งเธอเป็นจำเลย


หลายเดือนหลังจากนั้นจะมีคนพบเห็นเธอในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และเธอก็เริ่มไปผลุบโผล่ในหลายประเทศ พร้อมกับพี่ชายของตัวเอง หลายครั้งยัง โพสต์อวดภาพชีวิตอันหรูหราดูมีความสุขบนโซเชียลเน็ตเวิร์คอีกด้วยจนทำให้ ตลอดเวลา 2 ปีของการอยู่นอกประเทศ ไม่เคยมีใครคิดว่า เธอลำบากยากเข็ญ สักเท่าไหร่


กระทั่งในเดือนธันวาคมนี้ เธอเขียนข้อความลงบนเฟซบุ๊คแฟนเพจของตัวเองว่า เธอหน้าชื่นอกตรม จากการที่ต้องจากลูก ครอบครัว และประชาชน(ฮั่นแหน่) ทั้งยังถูกยึดเงิน บ้าน และทรัพย์สินที่เป็นสมบัติที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรง ทั้ง ทรัพย์สินเหล่านั้น ยังโดนเอาไปขายทอดตลาด โดยกรมบังคับคดี ตามคำสั่งของกระทรวงการคลัง เพื่อจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่เธอต้องจ่ายหลังจากแพ้คดีจำนำข้าวด้วย


หลังจากอ่านโพสต์นี้แล้วน้ำตาเราก็ไหลอาบตูด จนต้องยกฉายา “น้องหล่าผู้น่าเหลียโตน” ให้กับเธอ


ลุงรีกำพร้าน้อง


หลายครั้งในการปราศรัยหาเสียงเลือกตั้ง ก่อนวันที่ 24 มีนาคม 2562 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย มักจะกล่าวในที่สาธารณะเสมอๆ ว่า เขาไม่กลัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา


นั่นเพราะนายกรัฐมนตรีผู้นี้เป็นรุ่นน้องในโรงเรียนเตรียมทหารของเขานั่นหนึ่ง ส่วนหลักใหญ่ใจความที่เป็นเหตุให้วีระบุรุษนาแก ไม่ยอมสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ คือ ความไม่ชอบธรรมที่ คสช. ยึดอำนาจการปกครองประเทศ และใช้กลไกต่างๆ ให้ตัวเองครองอำนาจต่อ และด้วยจุดยืนดังกล่าวทำให้ พรรคเสรีรวมไทยได้รับการเลือกตั้ง มี ส.ส.บัญชีรายชื่อ 11 ที่นั่ง และเลือกที่จะยืนหยัดการทำงานเป็นฝ่ายค้าน


ในวันแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี 25 กรกฎาคม 2562 ลุงรี และลุงตู่ ได้มาพบกันในรัฐสภา และในฐานะ ส.ส. ฝ่ายค้าน ลุงรีได้ลุกขึ้นอภิปรายโจมตี ลุงตู่อย่างไม่ไว้หน้าพี่น้องร่วมสถาบัน


“ตอนลงไปพบพี่น้องประชาชนเนี่ยฮะ ประชาชนเขาบอกผมว่าท่านนายกฯเนี่ย เป็นนายกฯ 2 สมัย ไม่สง่างามเลย ครั้งแรกก็ปล้นเขามา ครั้งที่สองก็โกงเขามา ผมบอกเขาผมไม่เชื่อ เพราะผมเป็นนักเรียนเตรียมทหารท่านก็เป็นนักเรียนเตรียมทหาร… ผมบอกว่าสถาบันเหล่าเนี้ยเขาไม่สอนให้คนมาโกงหรอก เขาสอนให้สื่อสัตย์สุจริต”


หลังจากลุงรีร่ายยาว ถึงความไม่เหมาะสมของการเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยที่สองของ ลุงตู่ ลุงรีจึงตบท้ายว่า “ถ้าเป็นผม ผมไม่หน้าด้านเป็น(นายกฯ)ต่อหรอก ไม่เป็นดีกว่า”


เมื่อได้ฟังดังนั้น เหมือน พล.อ.ประยุทธ์ จะอารมณ์ถึงจุดเดือด ลุกขึ้นโต้ตอบพี่ชายร่วมสถาบันทันที


“ผมรู้จักกะท่านมานานแล้วนะครับ แต่งงานก็วันเดียวกัน สมรสพระราชทานมาด้วยกัน เป็นรุ่นพี่ผม แต่วันนี้ถือว่าไม่ได้เป็นรุ่นพี่ผม เพราะว่าท่านไม่เคยให้เกียรติผมเลย ท่านบอกว่าจะชักปืนยิงผมตั้งแต่วันโน้น”


ซึ่งหลังจากพูดเสร็จ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ลุกออกจากที่นั่งไปอย่างไม่สบอารมณ์ ขณะที่สมาชิกรัฐสภาต่างร้องต่อประธานรัฐสภาให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ถอนคำพูดที่กล่าวโจมตี น้องร่วมสถาบันของเขา แต่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ปฏิเสธที่จะถอนคำพูด ทำให้ประธานฯ เชิญ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ออกจากห้องประชุม


“ผมก็เสียใจนะ เสียน้องไปคนนึง ต้องกลับบ้านร้องไห้แล้ว เสียน้องชายไปคนนึง” ลุงรี กล่าวแก่สื่อมวลชน หลังออกจากห้องประชุม


ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราจึงต้องมอบฉายา “ลุงรีกำพร้าน้อง” ให้แก่อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้นี้


ลูกสาวหล่า พ่อฆ่าหมาคืนป่าตำเด็กน้อย


ส.ส. คนดังเมืองโอ่ง ปารีณา ไกรคุปต์ เริ่มเป็นที่รู้จักจากการมีวิวาทะกับ พรรณิการ์ วาณิช ในประเด็น “อีช่อ” เกี่ยวกับการแต่งกายที่ไม่เหมาะสมช่วงการไว้ทุกข์ให้แก่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองค์มนตรี โดยเธอให้เหตุผลว่า "อีช่อ" เป็นคำท้องถิ่น และเป็นคำที่ใช้ในบ้านของตน


และหลังจากนั้น ส.ส.พรรคพลังประชารัฐผู้นี้ ก็เป็นที่รู้จักในวงกว้าง จากอีกหลายๆ เรื่องเช่น #ปารีณาค้าอาวุธ ที่กลายเป็นเทรนด์บนโลกทวิตเตอร์อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง รวมไปถึงการขุดคุ้ยพรรฤติกรรมในอดีตของ ทวี ไกรคุปต์ ผู้เป็นบิดาของเธอ ที่มีวีดีโอคลิปยิงสุนัขตายหน้าร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง ช่วงปี 2559 จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างอึงมี่


แต่เรื่องอลหม่านที่พันผูกเธอที่สุด หนีไม่พ้นข้อครหาบุกรุกป่า ในพื้นที่เขาสนฟาร์ม อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี รวม 682 ไร่ มีบางส่วนเป็นพื้นที่ สปก.(สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม) ซึ่งครอบครองไม่ได้ และเมื่อเธอตัดสินใจคืนพื้นที่มีหรือที่รัฐจะเอาผิดเธอได้


นอกจากนี้ปลายปีเรื่องยุ่งๆก็ยังไม่จบไม่สิ้นเมื่อ ปรากฎข่าวชายคนหนึ่ง ขับรถเบนซ์ชนรถจักรยานยนต์ของเด็กคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ แต่ผู้ชนมีท่าทีคล้ายจะขับหนี ก่อนจะลงรถแนะนำตัวว่า “ผมคือ ทวี ไกรคุปต์”


แต่อย่างว่านะ สำหรับประเทศไทยใครก็ได้แห่งนี้ เรื่องของปารีณา และพ่อของเธอเป็นเพราะ “ถูกกลั่นแกล้งจากทักษิณซึ่งเป็นคนไม่ดี เวลามีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับประเทศไทยก็ต้องเป็นนายทักษิณอยู่แล้ว”


ดังนั้น หากจะพูดถึงปารีณา เราจึงของมอบ “ลูกสาวหล่า พ่อฆ่าหมา คืนป่า ตำเด็กน้อย” ให้ใช้เล่นๆ


เภสัชกรหัวหน้าลิงดากเทา


“เดินไปเดินมาหน้าเหมือนลิง จะตีลังกาก็เหมือนลิง

จะจนยังไงรวยเท่าไหร่ก็ไม่ทิ้ง..เหมือนกับลิงพอๆกัน” (เพลงคนหน้าลิง,ทีโบน)


หลายๆ ข้อครหาที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ท่านนี้ ถูกเปิดเผย ทั้งเรื่องคดียาเสพติดที่ออสเตรเลีย และวุฒิการศึกษาปริญญาเอกอันน่าเคลือบแคลง


แต่สิ่งที่ที่รู้ ที่เห็น และเป็นอยู่นั้น - ร.อ.ธรรมนัส อาจจะไม่ได้หน้าเหมือนลิง หรือไม่ได้พัวพันกับข้อกล่าวหาต่างๆ ก็ได้


แต่ที่แน่ๆนั้น เขาเคยพูดว่า “ผมเป็นคนเลี้ยงลิง เลยต้องเอากล้วยให้ลิงกินตลอดเวลา ขณะนี้เชื่อว่า กินจนอิ่มแล้วน่าจะพอได้แล้ว” ในช่วงต้นเดือนกันยายน 2562 หลังฟอร์มทีมรัฐบาลไปได้ระยะหนึ่ง


โดย การหล่นประโยคทองเขาเขานั้น สืบเนื่องจาก ส.ส.จากพรรคเล็ก 10 กว่าพรรคที่เขาเป็นผู้ประสานให้มาร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ มีท่าทีบิดพริ้ว และอยากต่อรองเพื่อให้ได้ตำแหน่งประธานกรรมมาธิการในสภา หรือตำแหน่งอื่นๆในทำเนียบรัฐบาล


ดังนั้น เราจึงเห็นควรที่จะมอบตำแหน่ง “เภสัชกรหัวหน้าลิงดากเทา” ให้แก่ ผู้กองธรรมนัสในปีนี้ และเชื่อเหลือเกินว่า ด้วยฟอร์มสม่ำเสมอในเรื่องราวของผู้กองบนหน้าข่าวแต่ละวัน ปีหน้าชายผู้เปลี่ยนหลายชื่อ และนามสกุลคนนี้ น่าจะได้รับฉายาใหม่อีกเช่นกัน


ลูกหล่าฮ่องเต้ไฮบริด


พูดได้เต็มปากว่า พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ คือชายที่เกิดมาเพื่อเป็นทหารอย่างแท้จริง เพราะเลือดที่ไหลเวียนในร่างกายของเขามีดีเอ็นเอของทหารกล้า พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ผู้เป็นบิดาเต็มเปี่ยม


ถ้าใครยังไม่ทราบว่า พลเอกสุนทรเป็นใคร บอกง่ายๆ เขาคือ หัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ผู้นำการรัฐประหารปี 2534 เขาเป็นทหารคนเก่งผู้ประหยัดอดออม เพราะเมื่อเสียชีวิตพบว่า เขามีทรัพย์สินรวมมูลค่าเกือบ 4 พันล้านบาท โดยในนั้นเป็นเงินฝากถึง 2 พันกว่าล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้ตรวจสอบแล้ว และไม่พบความผิดปกติ


และ ด้วยทรัพย์สินอันมากมายของผู้เป็นพ่อน่าจะทำให้ เด็กชายอภิรัชต์ เกิดมาพร้อมกับชีวิตที่สุขสบายเรียกว่า คาบช้อนเงินช้อนทองก็อาจจะได้ เพราะผู้เป็นพ่อคงไม่ปล่อยให้ลูกชายคนแรกได้รับความลำบากในการดำเนินชีวิต ความเป็นอยู่จึงน่าจะเหมือนฮ่องเต้น้อยๆก็คงไม่ผิด


เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มเขาได้รับการศึกษาที่ดีในโรงเรียนสร้างนายกรัฐมนตรีอันดับหนึ่งของประเทศไทยอย่างโรงเรียนเตรียมทหาร และโรงเรียนนายร้อยฯ ก่อนจะได้รับราชการและไต่เต้าสู่จุดสูงสุดในกองทัพบก


นับตั้งแต่รับตำแหน่ง บิ๊กแดง เคยกล่าวกับสื่อและสาธารณะชนด้วยวาจาเฉียบคมหลายครั้ง จนได้รับคำชื่นชมจากโลกอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะผู้ใช้ทวิตเตอร์ จึงเรียกได้ว่า เขาเป็น ผบ.ทบ. ที่ผสมผสานกึ๋น และความแข็งแกร่งได้อย่างลงตัว จนเราต้องมอบฉายา “ลูกหล่าฮ่องเต้ไฮบริด” ให้แก่ท่าน


กรรมการนกหวีดส้ม


มติยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ จากกรณีการกู้ยืมเงินหัวหน้าพรรคของตัวเอง คือ ผลงานชิ้นโบว์แดง ชิ้นล่าสุดของ องค์กรอิสระที่ชื่อว่า


“สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)”


ความรวดเร็วดุจปีศาจในการดำเนินงานของ กกต. ในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความกระฉับกระเฉง คล่องแคล่ว ว่องไว แบบที่องค์กรอิสระ หรือหน่วยงานรัฐอื่นๆควรเอาเยี่ยงอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ถูกตำหนิอย่างรุนแรงจากความล่าช้าในการตรวจสอบ คดีนาฬิกาแพงยืมเพื่อนของ รองนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ


ความล่าช้า และความไม่ชัดเจนของ ป.ป.ช. ทำให้เรื่องนาฬิกายืมเพื่อนของบิ๊กป้อม ถูกล้อยิ่งกว่าถนนมิตรภาพช่วงปีใหม่ แต่สำหรับ กกต. แล้ว พวกเขาทำได้ดีกว่า ป.ป.ช. มากในเรื่องความเล็ว


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ กกต. ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ คุ้มเงินภาษีของประชาชน คราวพรรคไทยรักษาชาติ กกต. ก็แสดงให้เห็นมาแล้วว่า พวกเขาสามารถที่จะทำสิ่งที่ดูเหมือนยุ่งยาก เช่นการยุบพรรคการเมือง ให้ง่ายเหมือนปอกกล้วย เพราะ กกต. ใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ ชงเรื่องถึงศาลรัฐธรรมนูญ และทำให้อีกแค่หนึ่งเดือนให้หลัง พรรคหน้าใหม่อย่างไทยรักษาชาติก็หายไปจากสารบบการเมืองไทย


แต่ไม่ใช่ว่า กกต. จะชอบทำอะไรรวดเร็วไปซะทุกอย่าง

ในหลายครั้ง กกต. ก็แสดงให้เห็นว่า พวกเขารอบคอบ ละเอียด และรัดกุมมาก ความรัดกุม ละเอียด และรอบคอบดังกล่าว จึงกลายเป็นความแช่มช้า ยิ่งกว่า มิลาน คุนเดอรา สำหรับบางกรณี และบางคน


เช่น กรณี โต๊ะจีนของพรรคพลังประชารัฐ ที่มีคนร้องตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 จนถึงตอนนี้ วนกลับมาเดือนธันวาคมอีกครั้ง กกต. ก็ยังใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว ก้มหน้า ก้มตาทำงานอย่างสุขุม และใจเย็น แสดงให้เห็นถึงความถ้วนถี่ในการตรวจสอบอย่างแท้จริง


“ช้าๆได้พร้าเล่มงาม” เชื่อว่า เจ้าหน้าที่ของ กกต. น่าจะคำนึงถึง สุภาษิตนี้อยู่ในทุกลมหายใจ


ในกรณีที่มีผู้ร้องเรื่องที่พรรคพลังประชารัฐใช้พื้นที่รีสอร์ทซึ่งบุกรุกพื้นที่ป่าจัดประชุมพรรค ก็เป็นอีกครั้งที่แสดงให้เห็นว่า กกต. พยายามตรวจสอบหลักฐานต่างๆอย่างปราณีตบรรจง เพราะ เรื่องนี้ถูกร้องไปตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2562 แต่ กกต. ก็ยังคงมุ่งมั่นทำงานอย่างไม่สนใจเสียงประชาชนที่เร่งเร้าให้พวกเขารีบปิดคดี


เชื่อว่า เพราะ กกต. น่าจะระมัดระวังอย่างที่สุด ด้วยเกรงว่า หากรีบร้อนแล้วผิดพลาดไปจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี ทั้งยังกระทบต่อการทำงานเพื่อชาติของรัฐบาลพลังประชารัฐอีกด้วย


อย่างไรก็ตาม ในบรรดาความรอบคอบทั้งหมดทั้งมวลของ กกต. การดำเนินการนับคะแนน และสรุปผลการเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งล่าสุด น่าจะเป็นหมุดหมายที่สำคัญ และชัดเจนที่สุดว่า องค์กรอิสระแห่งนี้ ละเอียดลออกับการทำงานมากเพียงใด


เพราะ สาธารณชนต่างรู้กันว่า การเลือกตั้งนั้นเสร็จสิ้นไปตั้งแต่เดือนมีนาคม 2562 แล้ว แต่กว่าที่ กกต. จะสามารถรับรอง ส.ส. ได้ก็ต้องรอจนเข้าสู่เดือนพฤษภาคม 2562 ความแช่มช้าที่เกิดขึ้นนี้ อาจทำให้ใครหลายคนแอบคิดว่า จริงๆแล้ว กกต. นั้นสามารถรีบสรุปผลการเลือกตั้งให้เร็วก็ทำได้ แต่เพื่อความรัดกุม 7 เสือ กกต.อาจจะนำบัตรลงคะแนนทั้งหมดทั่วประเทศกลับมานับใหม่ด้วยมือตัวเอง เพื่อให้เกิดความชัดเจน โปร่งใส และปลอดภัยที่สุดก็เป็นได้ ใครจะรู้


การคำนวณ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อที่ กกต. ได้แจกจ่ายเก้าอี้ ส.ส. ให้กับพรรคต่างๆมากมาย ก็เป็นอีกตัวอย่างที่ดีของการทำงานด้วยอุดมการณ์ประชาธิปไตย สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า กกต. นั้นเข้าใจถึงหลักการกระจายอำนาจ เพราะ แทนที่จะปล่อยให้พรรคใหญ่ครองเก้าอี้ไปหมด กกต. เลือกที่จะให้พรรคเล็กกว่ามีเสียงเป็นของตัวเอง เพื่อจะได้เป็นตัวแทนส่งผ่านความต้องการของคนเล็ก คนน้อย คนแคระ สู่สภาอันทรงเกียรติ


และตีความกฎหมายเพื่อคำนวณจำนวน ส.ส. บัญชีรายชื่อ ของ กกต. นั้นยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการแปลภาษากฎหมายที่ยุ่งยากและซับซ้อนให้ง่าย โดยผลลัพธ์ที่ได้ทำให้เราเชื่อว่า นี่เป็นการตีความที่อยู่ในระดับเดียวกับกับปรมาจารย์กฎหมายขั้นศาสตราจารย์อย่าง อาจารย์ดอกเตอร์วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เนติบริกร บิดาแห่งการ ยกเว้น และความลื่นไหลทางภาษาและอุดมการณ์ แน่นอน


“ประชาชนที่สนับสนุน พรรคไทยศรีวิไลย์ และพี่เต้-มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ น่าจะตระหนักถึงความมานะอดทนของ กกต. และขอบคุณ สิ่งที่ กกต. ได้ทำเป็นอย่างมากถึงมากที่สุดเป็นแน่”​


นอกจากความละเอียดรอบคอบ และ ความสามารถด้านกฎหมาย การใช้จ่ายงบประมาณ และการแสวงหาความรู้อย่างไม่หยุดนิ่งยังเป็นจุดเด่นที่ กกต. ทำได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะ ในปลายเดือนกุมภาพันธ์-ต้นเดือนมีนาคม 2562 ก่อนการเลือกตั้งไม่กี่สัปดาห์ 7 เสือ กกต. ยังสามารถจัดสรรงบประมาณ 12 ล้านบาท เพื่อส่งตัวเองไปดูงานในต่างประเทศ ทั้งในยุโรป อเมริกา และเอเชียได้


การเดินทางออกไปดูงานในต่างแดนของพวกเขาเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้คนไทยเห็นว่า แม้ กกต. เหล่านี้จะไม่ใช่คนในวัยหนุ่มสาวแล้ว แต่พวกเขาทั้งหมดก็ยังคงไขว่คว้าหาข้อมูล บทเรียน จากประเทศต่างๆอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย


ทั้งมันยังแสดงให้เห็นว่า กกต. จัดลำดับความสำคัญเป็น เพราะ แน่นอนการหาความรู้ใหม่ ย่อมสำคัญกว่าการจัดการเลือกตั้งที่ กกต. เองคุ้นเคย และจัดมาอย่างเชื่องมือ ตลอดเวลากว่า 80 ปีที่ประเทศนี้มีประชาธิปไตยอยู่แล้ว


สุดท้าย สิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือ การประชาสัมพันธ์ ในฐานะผู้สื่อข่าวที่ติดตามการทำงานของ กกต. อย่างใกล้ชิด(Advertorial) สามารถพูดได้เต็มปากว่า ทีมประชาสัมพันธ์ของ กกต. คือ ทีมที่เขียนจดหมายข่าวได้ดีที่สุด เพราะ ในหลายๆข่าว พวกเขาเลือกที่จะบอกเฉพาะใจความสำคัญของข่าวนั้นๆ และตัดรายละเอียดที่ยุ่งยาก และยาวเกิน 8 บรรทัดออกไป เพื่อให้นักข่าวทั้งหลาย สามารถลดเวลาในการเขียนข่าวลง ช่วยประหยัดทั้งพลังงานของนักข่าว และพลังงานไฟฟ้า อย่างที่น้องเกรต้า ยังต้องยกนิ้วให้


ในการเผยแพร่ข้อมูล ทีมประชาสัมพันธ์ กกต. ยังได้ใช้เทคโนโลยีอย่างเต็มที่ด้วยการตั้งกลุ่มไลน์ชื่อ ภารกิจ กกต. ขึ้นเพื่อสื่อสารกับผู้สื่อข่าวโดยตรงอย่างใกล้ชิด และหลายครั้งที่นักข่าวพยายามใช้ช่องทางนี้เพื่อถามคำถามที่สังคมอยากรู้ไปยัง กกต. ทีมประชาสัมพันธ์ ก็แสดงไหวพริบอย่างยอดเยี่ยม ด้วยการส่งเพียงแค่สติ๊กเกอร์ เพื่อสอนให้นักข่าวรู้จักการรอคอย และอีกหลายครั้งที่ ทีมประชาสัมพันธ์เลือกที่จะไม่ตอบคำถามที่ยากเกินไป เพื่อให้นักข่าวหัดที่จะอดทน และดื่มด่ำกับความสงสัยอันงดงาม


ทั้งหมดทั้งมวลที่เราได้กล่าวมา คือความกลมกล่อมในความสามารถขององค์กรอิสระที่ดีที่สุดในบรรยายกาศการเมืองอันขัดแย้ง ดังนั้นเราจึงขอมอบฉายา “กรรมการนกหวีดส้ม” เพราะกรรมคณะนี้เป่าทีไร เสียงปรี๊ดก็กลมกล่อม หวานแหวว เหมือนส้มหวานเสียเหลือเกิน


คนบ่เอาลุง มุ่งเกียแมว


อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกคนที่ มีคุณสมบัติเพียบพร้อม ทั้งชาติตระกูล การศึกษา ความรู้ภาษาต่างประเทศ หน้าตา ท่าทาง และบุคลิก


เขาเกิด เติบโต และเรียนหนังสือที่อังกฤษ เคยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย และเคยร่วมปราศรัยต่อต้านเผด็จการ ก่อนเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ หลังจากนั้นเขาผันตัวเองสู่เส้นทางสายการเมืองที่เขาใฝ่ฝัน และกลายเป็นดาวรุ่ง พุ่งแรง ขวัญใจแม่ยกได้อย่างง่ายดาย กระทั่งขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิตนักการเมืองเมื่อได้เป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2551 จากการมีบางอย่างดุน หนุน อยู่ที่แผ่นหลัง


ในสมัยของเขา ผลงานชิ้นโบว์แดง(Red Blow Job Fruit) คือ การสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง จนทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 90 คน และสามารถคืนความสุขให้บ้านเมืองอย่างที่ชนชั้นกลางเฝ้าฝัน


ในศึกชิงชัยต่อมา เขาและประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้งให้กับพรรคเพื่อไทย อภิสิทธิ์จึงได้กลับไปทำหน้าที่ที่ตัวเองถนัดที่สุดอีกครั้งคือ ฝ่ายค้าน และหลังจากทำหน้าที่ในสภาได้ 2 ปี อภิสิทธิ์และพรรคของเขากระโจนสู่ท้องถนน เพื่อต่อต้าน พระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ที่ภายหลังการเคลื่อนไหวดังกล่าวขยายตัวเป็นมวลมหาประชาชนยึดครองสี่แยกหลายสี่แยกในกรุงเทพฯ มีการขัดขวางการเลือกตั้งในปี 2557 และที่สุดสถานการณ์สุกปริ จนเกิดรัฐประหาร คสช. ทำให้ประเทศมีนายกฯ ที่ดีที่สุดนับแต่นั้น จนถึงเดี๋ยวนี้


และ หลังจากที่ คสช. อมประชาธิปไตยไว้ในปากอยู่นาน ในที่สุดก็ต้องยอมคลายการเลือกตั้งให้กับประชาชน พร้อมกับกติกาที่บริสิทธิ์ยุติธรรมที่สุด อภิสิทธิ์ นำพาพรรคประชาธิปัตย์ และตัวเขาเองลงสู่ศึกเลือกตั้งอีกครั้ง ก่อนพบความจริงที่ว่า พรรคสีฟ้าพรรคนี้ไม่ได้เป็นขวัญใจของใครใครเช่นเมื่อก่อนแล้ว


เมื่อการออกเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีมาถึง ที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์มีมติเห็นควรให้เลือกพลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง


อภิสิทธิ์ ผู้ที่เคยประกาศไว้ก่อนเลือกตั้งว่า จะไม่เอาลุงตู่ จึงเลือกที่จะถ่มตัวเองออกจากตำแหน่ง ส.ส. และหัวหน้าพรรค แทนที่จะกลืนน้ำลายก้อนนั้นลงคอ ทำให้ปัจจุบัน เขากลายเป็น “คนบ่เอาลุง มุ่งเกียแมว” อยู่บ้านดูแลสัตว์เลี้ยงหลายสิบชีวิตรอเวลากลับมาสู่สนามการเมืองที่เขารักอีกครั้ง


ตุ้ยนอนน้อยตกกะได


พี่ใหญ่สายเอ็น คือฉายาที่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้รับจากสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล นั่นเพราะในบรรดาสาม ป. (ป้อม -ป๊อก -ประยุทธ์) บิ๊กป้อม นอกจากจะต้องคอยดูแล 2 น้องรักแล้ว ยังต้องคอยเอาใจพรรคร่วมรัฐบาล และดูแลทุกข์สุขของ ส.ส. พลังประชารัฐในหลายเรื่อง ตั้งแต่คดีระหว่างประเทศ ยันกรณีฟาร์มไก่ และยังต้องออกเดินสายทำงานด้านความมั่นคงอยู่ตลอด ด้วยรูปร่าง และขวบวัยที่ร่วงโรย จึงมีคนเป็นห่วงสังขารท่านอยู่บ่อยๆ


กระทั่ง เกิดเหตุระทึกเล็กๆ ขึ้นหลังจบการประชุมสภาฯ พิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2563 ในขณะกำลังมีการเสนอรายชื่อกรรมาธิการรายพรรค พลเอกประวิตร แบกสังขาร 74 ปี ลุกออกจากที่นั่งตัวเอง แล้วเดินไปเสียหลักล้มกระแทกพื้นระหว่างการลงบันไดหลังบัลลังก์ จนนายกฯ ต้องเข้ามาช่วยพยุง


หลังเหตุการณ์ดังกล่าว จึงเกิดเสียงสะท้อนจากประชาชนหลายคนที่เป็นห่วงสุขภาพ และอยากให้ท่านได้พักผ่อนเว้นวรรรคการทำงานบ้าง เพราะเห็นว่า ท่านได้ทำงานด้านความมั่นคงมาแล้วก็หลายปีทั้งในรัฐบาลประยุทธ์ และรัฐบาลอภิสิทธิ์


ภาพการพักสายตาของบิ๊กป้อมในระหว่างการทำงานที่ประชาชนคุ้นเคย ยังเป็นอีกเครื่องยืนยันว่า พี่ใหญ่แห่งค่ายพลังประชารัฐท่านนี้ ขยันทุ่มเททำงาน จนต้องอดหลับอดนอนในหลายสถานการณ์


ด้วยความรักและห่วงใยนี้ เราจึงมอบฉายา “ตุ้ยนอนน้อยตกกะได” ให้แกชายรูปร่างกระทัดรัดผู้นี้


แม่ยายพ่ายฮัก


ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง น้องจินนี่ จอมเสย -ยศสุดา ลีลาปัญญาเลิศ บุตรสาวของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ กลายมาเป็นขวัญใจของผู้ชายไทยจำนวนมัก ทันทีที่ปรากฎภาพภาพของเธอผ่านสื่อระหว่างการตามคุณแม่ลงพื้นที่หาเสียง


กล่าวได้ว่า น้องจินนี่ คือ ส่วนผสมอันลงตัวของความหมวย ความสวย และความแว่น แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดนี้ คุณแม่ของน้องที่หนุ่มๆ หลายคนเรียกถนัดปากว่า “แม่ยาย” กลับต้องอกหักไม่สามารถเข้าไปนั่งในสภาได้อย่างที่หวังไว้


แต่ถึงคุณแม้จะไม่ได้เป็น ส.ส. ก็เชื่อว่า หนุ่มๆ หลายคนยังคงอยากยกตำแหน่ง “แม่ยายพ่ายฮัก” ให้แก่คุณหญิงหน่อยอยู่ดี ด้วยรักที่มีให้แก่น้องจินนี่ ลูกสาวคนสวยนั่นเอง


แมงเม่าเข้าสภา


สามารถพูดได้เต็มปากว่า สมาชิกวุฒิสภา ชุดนี้ คือ สมาชิกวุฒิสภาที่ดีที่สุด ในจุดที่ผู้นำประเทศต้องการ เพราะได้มาจากการสรรหาด้วยระบบที่เที่ยงธรรม มีเหตุมีผล ตรงตามหลักประชาธิปไตย อย่างชัดเจนที่สุด


โดย คสช. ตั้งกรรมการสรรหา ส.ว. ซึ่งบางคนนอกจากเป็นกรรมการสรรหาแล้ว ยังถูกเสนอชื่อเองด้วย ซึ่งด้วยกระบวนการนี้ทำให้ได้ ส.ว. ที่ดีที่สุด 194 ที่เหมาะที่สุดสำหรับการยกมือเลือกนายกรัฐมนตรี


ส่วนแคนดิเดตอีก 200 คนจะถูกเลือกกันจากกลุ่มอาชีพ ในระดับอำเภอ สู่จังหวัด และสู่ประเทศ เลือกเสร็จก็มาให้ คสช. เลือกจาก 200 ให้เหลือ 50 และส่วนสุดท้าย มาจากตำแหน่งทางราชการ คือ ผู้นำเหล่าทัพ ปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้นำตำรวจ รวม 6 คน


เมื่อแบรายชื่อออกมาเราก็จะพบ อดีตรัฐมนตรีในยุค คสช. อดีต สมาชิก สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) อดีตข้าราชการทหาร-ตำรวจ หรือกระทั่งญาติมิตรของคนในรัฐบาล ซึ่งทำให้เรามั่นใจได้ว่า ส.ว. จะทำงานสอดประสานกับ รัฐบาลได้อย่างดี ทำงานได้คล่องแคล่วเพราะมีประสบการณ์สูง และทำงานได้อย่างแข่งขัน เพราะผ่านโรงเรียนนายร้อยมาเป็นจำนวนมาก


เชื่อได้ว่า ส.ว. ที่สร้างผลงานชิ้นโบว์เขียวในการเลือก พลเอกประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีพร้อมเพรียงชุดนี้ เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะได้รับฉายา “แมงเม่าข้าสภา”


Youngaood


“ทำอะไรก็ได้กูไม่ได้ขอตังค์ใคร

หามันด้วยตัวเองกูทำให้แม่ภูมิใจ”


จุรินทร์ ลักษณวิศิษย์ (อู๊ดด้า) ถือเป็นรองนายกรัฐมนตรีที่มีประสบการณ์ทางการเมืองมากที่สุดคนหนึ่งในคณะรองนายกรัฐมนตรีของบิ๊กตู่ชุดนี้ เพราะเคยนั่งเป็นรัฐมนตรีมาแล้วหลายกระทรวง


หลังจากที่พี่มาร์คเลือกสละเรือประชาธิปัตย์ไปเลี้ยงแมว และเชียร์บอล จุรินทร์ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ และพาประชาธิปัตย์คว้าเก้าอีี้รัฐมนตรีถึง 7 ตำแหน่ง ถือ เป็นความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม สำหรับพรรคฟอร์มตก อำนาจต่อรองไม่สูงพรรคนี้


แต่แล้ว เมื่อได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ประชาธิปัตย์ และจุรินทร์ กลับแสดงให้เห็นถึงความเอกเทศจากคณะรัฐมนตรีอย่างชัดเจน โดยเฉพาะถ้าเทียบกับพรรคภูมิใจไทย และน้องหนูที่เดินตามพี่ตู่ต้อยๆ ทุกฝีก้าวแล้ว พี่อู๊ดดูค่อนข้างไว้ฟอร์มมากกว่าหลายขุม


กริยาของจุรินทร์ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จึงทำให้เรานึกถึงเนื้อเพลงท่อน


“เมื่อก่อนกูทำยังไงตอนนี้กูยังไม่เปลี่ยน

ถ้าเพื่อนกูไม่เข้าใจก็ปล่อยมันเดินทางอื่น

มึงไม่มีวันจะได้ถ้าเกิดว่ามึงไม่เสี่ยง

ถ้าย้อนเวลากลับไปกูก็จะทำเหมือนเดิม”


จากความเฟี้ยว ความคูลนี้ เราจึงอยากจะขอมอบฉายา Youngaood ให้กับพี่อู๊ดเสียจริง



#TheIsaander #Isaan #Isaannews #อีสานเด้อ #อีสาน #ข่าวอีสาน #ดิอีสานเด้อ #ฉายาการเมือง

433 views0 comments

Kommentare


bottom of page