top of page
Writer's pictureThe Isaander

"เผาตลาด"ฉากอันคลุมเครือ เรื่องเล่าคอมมิวนิสต์ บ้านกรวด บุรีรัมย์

เรื่องและภาพ: กฤตภัทธ์ ฐานสันโดษ



ราวกับคนหลังฉากที่อยู่ในประวัติศาสตร์อันรางเลือน เหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายเผาตลาดนิคม อําเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ในปี 2520-2521 ยังอยู่ในความทรงจำของคนบ้านกรวดหลายๆคน บทความนี้จะพาสำรวจความทรงจำที่แตกต่าง เรื่องเล่าที่ไม่มีการบันทึกไว้และกำลังจะสูญหาย แม้จะเป็นเรื่องเล่าที่ยังเป็นข้อถกเถียงและไม่มีข้อสรุปก็ตาม


อําเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ เดิมเป็นกิ่งอำเภอขึ้นตรงกับอําเภอประโคนชัย เมื่อปี 2481 มีผู้คนตั้งรกรากเดิมอยู่ไม่มาก ก่อนที่นิคมสร้างตนเอง กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ จะอนุญาตให้ผู้คนเข้ามาถางป่าปลูกพืชไร่และจับจองที่คนละ 25 ไร่ ราวปี 2512 เพื่อเป็นกำบังให้กองกำลังคอมมิวนิสต์ที่ขยายตัวและใช้ป่าเป็นฐานที่มั่นตามเขตชายแดนโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางภาคอีสาน ผู้คนจากทั่วประเทศโดยเฉพาะอย่างภาคอีสานต่างเข้ามาจับจองพื้นที่ตั้งรกรากใหม่ บางคนมาจากเชียงใหม่ หรือถ้ามาจากอีสาน เช่น อุดรธานี มหาสารคาม ร้อยเอ็ด สุรินทร์



อดีตกำนันหมู่บ้านแห่งหนึ่งในอำเภอบ้านกรวด เดิมเป็นคนจังหวัดอุดรธานี เนื่องจากไม่มีที่ทำกินจึงมาตามประกาศว่าจะมีนิคมสร้างตนเอง มาอยู่ที่บ้านกรวดตอนปี 2516 เขาเล่าให้ฟังว่าความรุนแรงในพื้นที่มีสาเหตุมาจากเขมรแดงที่หนีการโจมตีจากกองกำลังของฝ่ายเฮง สัมรินซึ่งสนับสนุนโดยคอมมิวนิสต์เวียตนาม เขมรแดงบางส่วนมาอยู่แถบชายแดนอีสานใต้ และถอยร่นมาหลังจากกองทัพเวียดนามบุกยึดกรุงพนมเปญจากกองกำลังเขมรแดงที่นำโดยพอล พต ในปี 2522 โดยเขาบอกว่ามีกองกำลังคอมมิวนิสต์เขมรแดงเริ่มก่อความวุ่นวายในปี 2516 เริ่มมีการวางระเบิดฝังไว้ พ่อของเขาถูกระเบิดที่เขมรแดงฝังไว้ถึงสี่ครั้งและรอดชีวิตมาได้ ส่วนน้องชายของเขาถูกระเบิดขาขาดและเสียชีวิตด้วยบาดทะยักสามปีถัดมา


เขายืนยันว่าไม่มีคอมมิวนิสต์ฝั่งไทยหรือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ในพื้นที่บ้านกรวด เพราะกลุ่มนักศึกษาที่มาจากกรุงเทพหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ส่วนหนึ่งอพยพเข้าป่าแถบอำเภอใกล้เคียงได้แก่ อำเภอโนนดินแดง อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์ ไปจนถึง อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา แต่เขาก็ไม่รู้ว่าระหว่างเขมรแดงและพคท. มีการเชื่อมโยงติดต่อสื่อสารกันหรือไม่ เขามั่นใจว่าเขมรแดงต้องการไล่ชาวบ้านออกและยึดพื้นที่บริเวณบ้านกรวด รวมถึงต้องการยึดประเทศไทย


ในช่วงนั้นชาวบ้านส่วนใหญ่เสียชีวิตด้วยระเบิดที่ฝังอยู่ในดินเพราะชาวบ้านจะไปทำการเกษตร บางส่วนเสียชีวิตเพราะถูกกระสุยยิง ซึ่งเขาเล่าว่าตอนนั้นไม่รู้ว่าฝ่ายไหนยิงฝ่ายไหน บางทีชาวบ้านทะเลาะกันเองก็ฉกฉวยสถานการณ์ยิงคู่อริเสียชีวิตแล้วบอกว่าเป็นคอมมิวนิสต์ยิงก็มีเช่นกัน ราวปี 2522-23 ที่หมู่บ้านสายโท 9 มีเหตุการณ์เขมรอพยพขึ้นมาฝั่งไทยซึ่งไม่ทราบว่าเป็นเขมรแดง หรือฝ่ายเฮง สัมรินหรือประชาชน ถูกทหารไทยเอาไปยิงทิ้งลงบ่อ


รวมทั้งปรากฎชาวบ้านที่เข้าไปเป็นแนวร่วมคอมมิวนิสต์เช่น นายทอยก็ถูกฆ่าจากทหารไม่ทราบฝ่าย และยังมีนายนันและภรรยาของเขา ไปร่วมกับ พคท. ได้ไปเป็นฝ่ายปฐมพยาบาลและได้ไปอบรมด้านฝังเข็มที่ประเทศจีน ทั้งคู่ปฏิเสธว่า พคท. ไม่ได้เป็นพวกเดียวกับเขมรแดง มีอุดมการณ์กันคนละแบบ แต่กำนันเองไม่เชื่อเพราะเสื้อผ้าของ พคท. กับเขมรแดงมีลักษณะเหมือนกันทุกประการ จึงคิดว่าน่าจะเป็นพวกเดียวกัน เป็นสายจีนแดง (สนับสนุนโดยคอมมิวนิสต์จีน) เหมือนกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะออกจากป่าและเข้าเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ตามคำสั่งที่ 66/2523




ปี 2520 ช่วงเขมรแดง จะมี พคท. มาร่วมขบวนการด้วยหรือไม่เขาก็ไม่แน่ใจ แต่พวก พคท,นั้นมาปล้นเอาของไปเป็นสเบียง มีทหารฝั่งไทยขับ B52 ไล่ยิงคอมมิวนิสต์ที่มาปล้นเผาตลาด ตกกลางคืนเขาก็นั่งดูแสงไฟที่เกิดจากปืน ชาวบ้านต้องการมีส่วนร่วมตอบโต้ทหารคอมมิวนิสต์มีจอบมีเสียมก็ไปช่วย พ่อเขาโดนระเบิดหลังจากไปช่วยทหารไทย มีคนเสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บ 5 คน เพราะเขมรแดงฝังระเบิดข้างทางเดิน


ปี 2521 บ้านเขาถูกคอมมิวนิสต์เผา ไม่สามารถทำไร่นาได้เพราะมีกองกำลังคอมมิวนิสต์ซุ่มโจมตีด้วยปืนอาก้า เขาเคยถูกคอมมิวนิสต์ไล่ยิงเกือบถูกกระสุน ขโมยควาย โชคดีที่พ่อเขาเอาปืนลูกซอง ยิงไล่คอมมิวนิสต์คืน เขาเคยเห็นศพเขมรแดงและช่วยขุดหลุมฝังกลบให้สองราย


จากนั้นจึงไปสมัครเป็นทหารพราน เงินเดือน 900 บาท ถ้าหากกองกำลังของฮุน เซนและเฮง สัมรินซึ่งสนับสนุนโดยเวียตนามไม่สามารถบุกยึดเขมรแดงได้ เขามั่นใจว่าเขมรแดงต้องการยึดประเทศไทยอย่างแน่นอน เพราะเขามองว่ามีทหารคอมมินิสต์จำนวนมาก ได้ยึดพื้นที่ฝั่งไทยกินอาณาเขตกว้างข้ามช่องตะกู โนนดินแดง ไปเสิงสาง ครบุรี ตาพระยา “พวกเราเลยได้รับประโยชน์ไปด้วย ไม่งั้นเราถูกเขมรแดงยึดแผ่นดินแน่” อดีตผู้นำชาวบ้านกล่าวไว้อีกตอน


ปี 2523-2524 หลังจากชาวบ้านอพยพหนีออกจากหมู่บ้าน ทหารได้กลับมาตั้งหมู่บ้านให้ มีบังเกอร์ ป้อมยาม ที่กระจายเสียงให้กำลังใจชาวบ้านไม่ให้ตื่นตูม อย่าหลงเชื่อคนแปลกหน้า อย่าเชื่อคอมมิวนิสต์ มีวงดนตรีจากบ้านป่าหวาย ทหารหมวกแดง จังหวัดลพบุรี มาเล่นดนตรีสร้างขวัญกำลังใจ และตอนนั้นไม่มีกองกำลังเขมรในพื้นที่นั้นแล้ว แต่ก็มีระเบิดยิงตกมาฝั่งหมู่บ้านบ้างเพราะทหารเขมรต่อสู้กับญวน แต่ยังเหลือระเบิดน้องชายเขาไปล่าสัตว์ในป่า ตอนนั้นอายุ 27-28 ปี เหยียบระเบิดในป่าขาขาด


ผู้สูงอายุสตรีคนหนึ่ง มาจากอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เล่าว่ามาอยู่ที่บ้านกรวด ตั้งแต่ ปี 2517 ขณะอายุ 24 ปี ไม่มีที่ทำกิน มากับลูก อายุ 5 เดือน มีคนในหมู่บ้านจากสายโท 13 แนะนำให้มาจับจองพื้นที่ เริ่มปี 2520 มีคอมมิวนิสต์เผาตลาดนิคม มีความรุนแรง มีเครื่องบินฝั่งไทยยิงป่าอ้อยตอนกลางคืนสว่างเหมือนตอนกลางวัน มีระเบิด ต้องหนีตลอดเวลา มีลูกระเบิดตก เธอไม่กล้าไปดูคนเสียชีวิต ชาวบ้านหนีแล้วก็มีคนอื่นเข้ามาขโมยของในหมู่บ้าน มีพี่น้องมาจากอำเภอปราสาทเหมือนกัน ขับเกวียนมาเกี่ยวข้าว ถูกคอมมิวนิสต์ซุ่มยิงเสียชีวิต ไม่สามารถเกี่ยวข้าวได้ เธอต้องไปนอนตอนกลางคืน สามีเธอยังนอนเฝ้าบ้านเฝ้าควาย เมื่อเธอกลับมาตอนเช้าก็พบว่ามีรอยคนซุ่มมอง เลยกลับไปอยู่อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ 4 ปี


กลับมา ปี 2524 ทหารจัดสรรให้อยู่เป็นกลุ่ม ทหารจะแขวนชื่อของคนในหมู่บ้านไว้ว่าให้อยู่บ้านหลัง เธอก็ยังต้องอยู่ในบังเกอร์ บางส่วนต้องไปอยู่หอประชุมกลางบ้าน มีคุณครูขับรถยนตร์เพื่อเอาข้าวมาให้คนที่ไม่ต่างๆ ได้หนีออกจากหมู่บ้าน ระหว่างขับรถตกหลุมระเบิด รถเสียหลักชนต้นกระถินเสียชีวิต หลังจากนั้นมาก็ไม่ได้มีเหตุการณ์คอมมิวนิสต์อีก เธอมั่นใจอย่างมาก ว่าคอมมิวนิสต์ที่มาบุกหมู่บ้านคือคอมมิวนิสต์ไทย หรือ พคท. เธอบอกว่า นายถอย สุดจำนง คนที่ช่วยเธอมาอยู่บ้านกรวดถูกคอมมิวนิสต์ขโมยจักรยานยนตร์ไปและยิงเขาตกจากเกวียนเสียชีวิต มีคนเล่าให้เธอฟังว่าก็เป็นพวกคนไทยด้วยกันนี่แหละที่ทำ พวกคอมมิวนิสต์จะทาหน้าดำเพื่ออำพรางให้จำไม่ได้ เพราะจริงๆ เป็นคนใกล้ตัว คนรู้จักกัน



ข้าราชการผู้หนึ่ง เธอเป็นคนจังหวัดอุบลราชธานี มาอยู่บ้านกรวด ปี 2515 เป็นป่าทึบ ถนนลูกรัง แต่ก่อนคนเขมรและคนไทยซื้อขายสินค้าแลกเปลี่ยนกัน มีความเจริญเศรษฐกิจดี เธอมาไม่ทันจับจองที่ เธอมาอยู่กับญาติที่จับจองได้ มาเข้าเรียนจนถึง ป. 6 เมื่อ ปี 2521 เธอกลับมาจากบ้าน มาถึงหน้าอำเภอ เธอสังเกตว่ามีเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งปกติเวลามีเฮลิคอปเตอร์แสดงว่าจะมีคนใหญ่คนโตมา เช่น รัชกาลที่ 10 เคยมาค่าย ตชด. บ้านกรวด เมื่อปี 2519 แต่คืนนั้นมีเฮลิคอปเตอร์ คิดว่าพระราชินิเสด็จหรือไม่ แต่เฮลิคอปเตอร์ จอดหน้าอำเภอ แต่พอขับถึงตลาดนิคม มีไฟไหม้สีแดง เห็นศพเอาสังกะสีคลุม


เธออยู่หมู่บ้านสายตรี 2 มีคอมมิวนิสต์เขมรแดง ชาวบ้านหนีเอาชีวิต เธอไม่รู้ว่าคอมมิวนิสต์เป็นเขมรหรือไทย มีคอมมิวนิสต์มาปล้นข้างบ้านเธอ เธอต้องวิ่งหนีไปที่เนินราชัณย์ เสื้อผ้าต้องใส่สีทึบๆ ตลอดเวลา ต้องแต่งชุดเตรียมพร้อมหนีตลอดเวลา พ่อจะบอกกับเธอว่า “ไป!” เธอวิ่งหนีมีแสงแดงๆ ลูกปืนออกมาจากปลายกระบอก มีเสียงดัง ฟิ้วๆ ผ่านหู


ในช่วงนั้นมีโครงการ ทสปช. ซึ่งเป็นการอบรมชาวบ้านโดย ตชด. ให้ปืนกับผู้นำหมู่บ้าน สอนให้หลบหลีก ต่อสู้ วิธีการเดินตามหลังกัน ในระหว่างอบรมก็มีคนถูกกับระเบิด ต้องหลบหนีกันไปอีกที่ ถ้าจะทำไร่มันก็ไม่สามารถทำได้ เช่น ถ้าวันนี้ไปเก็บมัน พรุ่งนี้จะไปที่เดิมไม่ได้ เพราะคอมมิวนิสต์จะมาวางระเบิดไว้ในไร่ “ถ้าโดนระเบิดต้องรีบวิ่งไม่งั้นจะโดนยิงซ้ำ” เธอกลับไปอยู่ศรีสะเกษบ้านของพ่อ


ปี 2523 เธอกลับมาเรียน ม.4 เหตุการณ์สงบ ทหารสร้างบ้านให้ ทหารต้องเอาคนป่วยใส่รถถังมาส่งที่โรงพยาบาล ตชด. เดินสายอบรมมาให้ความรู้ระบบการปกครองของไทยเป็นแบบประชาธิปไตย อย่าให้ไปเข้าร่วมคอมมิวนิสต์ เธอคิดว่าในป่ามีทั้งฝ่ายไทยและเขมร มีชาวบ้านบางคนก็เข้าร่วมแต่เราไม่อาจทราบได้ว่าใครเป็นใคร มีสายคอมมิวนิสต์อยู่ทุกหมู่บ้าน เขาเท่าเทียบกันหรือไม่ เข้าไปอยู่ในป่าก็ยังต้องทีหัวหน้าอยู่ พวกคนเข้าไปในป่าส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาอยู่สุขสบาย เข้าป่าแล้วไปลำบาก อดอยาก ต้องหลบหนีตลอด ทหารแนะนำให้มามอบตัว


ตชด. พยายามอย่างมากให้เราอย่าไปเข้าคอมมิวนิสต์ เอาคนลาวมาบอกว่า “ถ้าไปเป็นคอมมิวนิสต์ ต้องสามัคคี ลูกกับเมียต้องเป็นของส่วนรวม ทำอะไรต้องเป็นของส่วนรวม ถูกบังคับ พวกคอมมิวนิสต์อยากล้มล้างการปกครอง อย่าไปเป็นเลย” ช่วงนั้นก็มีชาวบ้านเขมรหนีขึ้นมาคราวละ 20-30 คน ถูกระเบิดบ้าง เหลือ 4-5 คน พวกนี้ก็ไปค่ายอพยพ ได้ไปอยู่อเมริกา บางคนพูดฝรั่งเศสได้ แต่เธอเองก็ไม่เคยเห็นคอมมิวนิสต์ด้วยตนเอง มีแต่คนเล่าให้ฟัง


พนักงานประจำสถานที่ราชการคนหนึ่ง เขาเป็นคนบ้านกรวดดั้งเดิม แต่ก่อนเราข้ามไปฝั่งเขมรได้ เพียงแค่สื่อสารคนละภาษา เราเข้าออก แลกเปลี่ยนสินค้ากันได้ ปี 2519 เริ่มมีคอมมิวนิสต์เข้ามา โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม โดยมีแกนนำสำคัญคือ การุณ ใสงาม เขาเข้าร่วมพคท. มีชื่อจัดตั้งว่า “สหายสมคิด” ซึ่งแต่เดิมเขาเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับชาวบ้านในอำเภอประโคนชัย เขาเป็นหนึ่งใน “9 กบฎสองแถว” ซึ่งเกิดจากมีนายทุนผูกขาดสัมปทานรถประจำทาง น้องชายของเขา มงคล ใสงาม ซึ่งร่วมประท้วงด้วยถูกยิงเสียชีวิต นับแต่นั้นมาเขาก็ถูกเพิ่งเล็งโดยรัฐบาลตลอด บิดาและแม่เลี้ยง ของเขาก็ถูกยิงเสียชีวิต ถึงแม้ว่าต่อมาเขาจะเข้าร่วมการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปี 2551


ประมาณ ปี 2523-2524 แต่ก่อนเขาเป็นนักศึกษา อายุ15-16 ปี รู้ไม่ถูกกับตำรวจทหาร ไม่ชอบเผด็การ ไปอยู่ในป่าบริเวณช่องโอบก มีน้ำทรัพย์เอาไว้ต้มกิน ลักษณะเป็นพี่น้องกัน แบ่งกันกิน ไม่ได้น่ากลัว เมืองไทยเราต้องสบาย ประชาชนจะปกครองกันเอง ไม่ต้องมีคนใหญ่คนโต มีหัวหน้าใหญ่พากันมา ถ้าเป็นทหารที่เป็นเพื่อนกันก็ไม่ยิงกัน เข้าไปในป่ามีปืนให้ถ้าเป็นเวรยาม เขาเข้าป่าตอนช่วงเย็น ตอนกลางวันก็มาเรียนหนังสือตามปกติ บางครั้งไปไม่ถึงสองชั่วโมง เข้าออกป่าประมาณ3 ปี


คนกลุ่มนี้เป็นคนละพวกกับคนเขมรแดง ไม่ได้เป็นคนเผาหมู่บ้านไม่ได้ยิงคน แต่จะมีกลุ่มแนวหน้าหัวรุนแรงของ พคท. ที่ปะทะกับทหารและ อส. เพื่อกวาดล้างพื้นที่ แต่เราเป็นมวลชนของชาวบ้านไม่ได้ต่อสู้กับทหาร มีน้องผู้ว่าจังหวัดบุรีรัมย์เข้าร่วม พคท. และถูกยิงเสียชีวิตในบ้านบริเวณ หมู่บ้านสายโทใต้ 9 อส. จำนวนหนึ่งถูกจับเข้าคุก


การุณ ใสงาม เป็นคนที่พาเขมรแดงมา เขาเป็นหัวหน้าเขตดูบริเวณบ้านกรวดและประโคนชัย ถ้าเป็นฝั่งพนมดงรักเป็นหงา คาราวาน ถ้าเป็นเขาใหญ่จะเป็นแอ๊ด คาราบาว การุณไม่ได้เป็นคนเผาตลาดและไม่ต้องการให้เผา การุณเป็นนำพาเขมรแดงเข้ามาเพื่อมาปล้นเอาสเบียง แต่เขมรแดงต้องการทำลายไม่ให้มีตลาด เมื่อปี 2521 เขมรแดงที่ขึ้นมาราว 50 คนตอนเช้าก็กินก๋วยเตี๋ยวดื่มสุราในตลาด มีการวางแผนว่างว่าจะเผา โดยเริ่มราว 24.00 น. เขมรแดงก็เผาตลาด ยิงตำรวจตายราว 5 คน เขาเล่าติดตลกว่าเขมรขโมยผงซักฝอกไปกินคิดว่าเป็นขนม และเอาน้ำปลาไปกินคิดว่าเป็นเหล้า


จนกระทั่ง ปี 2527 มีทหารหมวกแดงเข้ามารับสมัครให้เป็นทหารพราน เขาเองก็สมัครไปรบที่ จังหวีดสกลนคร เขาไม่เคยอยากมาทำงานเป็นข้าราชการเลย แต่สุดท้ายก็ต้องเป็น เพราะเกลียดข้าราชการมาโดยตลอด


พนักงานสถานที่ราชการแห่งหนึ่ง เป็นคนจังหวัดนครราชสีมา มาอยู่บ้านกรวดตอนเด็กๆ เธอไปอยู่กับลุงเป็น ตชด. ตอน ป. 3 ราว ปี 2516 ในค่าย ตชด. ยังไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรง ต่อมาเธอย้ายไปกับพ่อที่บ้านบาระแนะ ตำบลหนองแวง อำเภอละหานทราย พ่อเธอขายของแล้วมีคนมาชวนเป็นคอมมิวนิสต์เป็นสหาย มีคอมมิวนิสต์ซ่อนตามไร่มัน ยิงทหาร เป็นคนไทย แต่ไม่ฆ่าไม่ทำร้ายชาวบ้าน พวกสหายก็จะมาซื้อข้าวสาร ยา และน้ำตาลจากพ่อ เวลาสหายมาตอนกลางคืนก็ถือปืนมาด้วย พวกสหายเอาชาวบ้านไปฝึกไปเป็นพวกด้วยจำนวนมาก แต่พอกลับมาบ้านกรวดก็ไม่เห็นแบบนั้น


เธอมากับพ่อแม่เพื่อมาหาที่ทำกิน แต่ก่อนมีรถคอกหมูวิ่ง แต่ก่อนมีตลาดนิคม ขายผักตามถนน เมื่อปี 2521 เธออยู่ห้องแถวในตลาดนิคม เธออายุประมาน 13 ปี คอมมิวนิสต์ซึ่งบางคนบอกว่าเป็นเขมรแดง บางคนบอกว่าเป็นคนไทย เพราะศพฝ่ายตรงข้ามจะถูกตัดจมูกทำลายศพเพื่อให้จำไม่ได้ คอมมิวนิสตืฝังระเบิด ราวประมาณ 24.00 น. “พวกเรานอนอยู่ แม่ก็พาคลานไปแช่น้ำหลบหลังบ้าน จนเช้าถึงมีเสียงเครื่องบินมาช่วย เธอก็หนีกลับไปโคราช” “ตอนที่เธอแช่ในน้ำก็มีกระสุนข้ามหัวผ่านไป ผนังไม้ห้องแถวถูกคอมมิวนิสต์ฉีกพังหมดเลย”


เธอกลับมาบ้านกรวด ปี 2524 มาขายของทำงานที่ศูนย์เด็ก ทำงาน รพ. ตอนอายุ 18 ปี แต่ก่อนเป็นโรงพยาบาลขนาดสิบเตียง (ปัจจุบัน 60 เตียง) มีบังเกอร์ในโรงพยาบาล จนปี 2528 ก็มีระเบิดยิงมาจากฝั่งเขมร ตกบ้านพักครูมีคนเสียชีวิตหลายคน


นี่จึงทำให้เห็นว่าประวัติศาสตร์ทางการและเรื่องเหล่าของคนในพื้นที่ต่างปะทะสังสรรค์ตอบโต้กันและยังไม่มีข้อสรุป คอมมิวนิสต์คือคนไทยหรือคนอื่น เป็นนักศึกษาหรือคนเขมร เป็นคนชั่วหรือไม่ต่างจากมนุษย์ปุถุชน ชาวบ้านในพื้นที่มีเรื่องเล่าและความเชื่อผ่านมุมมองของตนเอง และประวัติศาสตร์เหล่านี้กำลังสูญหายไปพร้อมกับคนในพื้นที่เมื่อเวลาผ่านไป บ้านกรวดก็จะไม่ต่างจากพื้นที่อื่นๆ ที่คนจากทั่วสารทิศเข้ามาทำมาหากิน



#คอมมิวนิสต์ #บ้านกรวด #บุรีรัมย์ กฤตภัทธ์ ฐานสันโดษ


Comments


bottom of page